“พรพรหรมเม็ททอล” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 57 มีรายได้ 346.80 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 13.02 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร “ชำนาญ พรพิไลลักษณ์” แจงสาเหตุรายได้ไม่เข้าเป้า เหตุปัจจัยการเมืองรุมเร้าส่งผลเศรษฐกิจ และภาคการลงทุนของอุตสหากรรมโดยรวมภายในประเทศชะลอตัว ระบุเชื่อแนวโน้มครึ่งปีหลังจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น พร้อมเดินเครื่องเร่งสรุปดีลโครงการอาคารจอดรถอัจฉริยะบริเวณสถานีระบบขนส่งมวลชน หวังสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทฯ
นายชำนาญ พรพิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรพรหมเม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ PPM ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรม และวัสดุเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง เปิดเผยถึงผลการดำเนินประจำงวดไตรมาส 1/2557 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 346.80 ล้านบาท ลดลง 16.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 416.59 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 13.02 ล้านบาท ลดลง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.13 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวลงของภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมือง
“บริษัทฯ มองว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ภาครวมของอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองที่เข้ามาเป็นตัวแปรหลักจนส่งผลให้กลไกทางด้านเศรษฐกิจของประเทศมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2557 มีการชะลอตัวตาม แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม” นายชำนาญกล่าว
นอกจากนี้ นายชำนาญ ยังได้กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ว่า บริษัทฯ ได้ตั้งงบประมาณในการลงทุนปีนี้ไว้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนหนึ่งไว้พัฒนาที่อาคารจอดรถอัจฉริยะบริเวณสถานีระบบขนส่งมวลชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาข้อสรุปในโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ หากโครงการดังกล่าวเริ่มมีการก่อสร้าง และแล้วเสร็จในเชิงพาณิชย์จะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากการให้เช่าบริการเฉลี่ยหลายร้อยล้านบาทตลอดอายุสัญญา
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งแผนการร่วมทุนดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนต้นปี 2558 ส่วนหนึ่งจะนำมาจากการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวน 80 ล้านหุ้น ตามนโยบายที่บริษัทฯ จะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วนการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2 หุ้นต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (2:1) โดย Warrant มีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 560 ล้านบาท จากการใช้สิทธิในการแปลงสภาพตามระยะเวลาดังกล่าวเพื่อนำไปขยายธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงคาดว่าในครึ่งปีหลังบริษัทฯ จะได้รับอานิสงส์จากผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมในต่างประเทศที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอุตสาหกรรม เช่น ทองแดง และทองเหลืองชนิดแผ่นและม้วน, ท่อทองเหลือง และอุปกรณ์, อะลูมิเนียมชนิดม้วนเกรดพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมหลังคา ฯลฯ และผลิตภัณฑ์วัสดุเพื่อใช้ในการก่อสร้าง เช่น ฉนวนยางป้องกันความร้อน, อะลูมิเนียมชีตทำหลังคารีดลอน ฯลฯ มีดีมานด์ความต้องการผลิตภัณฑ์เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศด้วยว่าจะเอื้ออำนวยหรือไม่