ก.ล.ต. สั่งเข้ม บจ. ให้ข่าวเกินจริงกระทบราคาหุ้น กำชับ 3 กรณีอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตาม กม.หลักทรัพย์ พร้อมย้ำ “หุ้นไอพีโอ” ควรให้ข่าวที่ระบุไว้ในไฟลิ่งเท่านั้น
นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกฎหมายและพัฒนา รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้มีการกำชับกับบริษัทที่จะเข้าทำการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (ไอพีโอ) และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถึงการเผยแพร่ข่าวสารแก่นักลงทุนให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
นายธวัชชัย ยืนยันว่า ก.ล.ต. ได้มีความเข้มงวดกับเรื่องการให้ข่าวของบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น ซึ่งเรากำชับว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนต้องให้ข่าวธุรกรรมที่เกิดขึ้นแล้วจริง ส่วนบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนนั้นต้องให้ข้อมูลบริษัทที่อยู่ในไฟลิ่งเท่านั้น
สำหรับสาเหตุที่ต้องกำชับเพราะว่าช่วงที่ผ่านมา มี 3 กรณี ที่มีการให้ข่าว และมีผลกระทบต่อราคาหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ข่าวของบริษัทที่ถูกจดทะเบียน หรือการให้ข่าวในการเตรียมจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนต่างๆ ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง รวมไปถึงหุ้นที่จะเข้าทำการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่อาจให้ข้อมูลมากกว่าแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ที่กำหนดทำให้ ดังนั้น ก.ล.ต.ต้องหันมาเข้มงวดในเรื่องการข่าวมากขึ้น
ปัจจุบันโดยภาพรวมนั้นถือว่าการให้ข่าวบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ยังให้ข่าวอยู่ในเกณฑ์ดี ครบถ้วนและมีความถูกต้องจึงไม่น่ากังวล ทั้งนี้ หลักการให้ข่าวของบริษัทจดทะเบียนนั้น ต้องให้ข่าวที่เกิดขึ้นแล้วจริง และมีผลต่อบริษัทเท่านั้น ส่วนบริษัทที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ต้องทำตามข้อกำหนดการให้ข่าวที่ระบุไว้ในไฟลิ่งอย่างเคร่งครัด
ด้านผู้บริหารบริษัทที่เตรียมจะเข้าทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้มีการกำชับกับบริษัทถึงการให้ข่าวมากขึ้น โดยคำนึงถึงข้อกำหนดในการให้ข่าว ซึ่งช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการให้ข่าวไปบางส่วนแล้วไม่ได้ระบุไว้ในไฟลิ่ง ซึ่งทาง ก.ล.ต.ได้มีการติดต่อและแจ้งเตือนถึงการให้ข้อมูลดังกล่าวทันที
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการแจ้งเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนกรณีมีข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุน และการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจากการที่ ก.ล.ต. จะอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ หรืออนุมัติให้จัดตั้งกองทุน ส่งผลถึงการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนอันเนื่องมาจากการจัดตั้งกองทุน
โดยทาง ก.ล.ต.ชี้แจงว่า การอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ หรืออนุมัติการจัดตั้งกองทุนใดก็ตาม จะมีความแน่นอน เมื่อทาง ก.ล.ต. มีหนังสือแจ้งผู้ขออนุญาต หรือขออนุมัติอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ กรณีที่บริษัทจดทะเบียนจำหน่ายทรัพย์สินเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างรายได้ และภาระผูกพันในอนาคตของบริษัท
รวมทั้งอาจมีเงื่อนไขตามสัญญาบางประการที่มีประเด็นตามมาตรฐานการบัญชีว่า บริษัทจดทะเบียนจะสามารถบันทึกรายการดังกล่าวเป็นการขายขาด (true sale) ได้หรือไม่ หรือต้องบันทึกเป็นการกู้ยืมเงิน ซึ่งการบันทึกบัญชีในแต่ละลักษณะจะมีผลแตกต่างกันอย่างมากต่อผลกำไรขาดทุน หรือภาระหนี้สินของบริษัทในงวดบัญชีที่เกิดรายการ ซึ่งในระหว่างการยื่นขอจัดตั้งกองทุนอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ รายละเอียดต่างๆ ได้ตลอดเวลา ผู้ลงทุนจะทราบผลกระทบที่แท้จริงต่อเมื่อบริษัทจดทะเบียนได้ข้อยุติในเรื่องการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมแล้ว หรือเมื่อ ก.ล.ต. ได้อนุมัติคำขอจัดตั้งแล้ว
ดังนั้น ก.ล.ต. ขอเตือนผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในกรณีที่มีข่าวเรื่องการจัดตั้งกองทุน และการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ที่ทาง ก.ล.ต. ยังไม่ได้อนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ หรืออนุมัติให้จัดตั้งกองทุน และยังไม่มีข้อยุติว่า การจำหน่ายทรัพย์สินให้แก่กองทุน หรือกองทรัสต์จะส่งผลต่องบการเงินของบริษัทจดทะเบียนอย่างไร เนื่องจากหากบริษัทไม่สามารถบันทึกรายการจำหน่ายทรัพย์สินเป็น true sale ได้ นอกจากไม่มีการบันทึกกำไรตามที่เป็นข่าวแล้ว ยังส่งผลให้บริษัทมีหนี้สินสูงขึ้นจากการทำรายการดังกล่าว
สำหรับนักวิเคราะห์การลงทุนในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ ควรระมัดระวัง และรอบคอบในการให้ความเห็นที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน โดยควรให้ความเห็นเมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจนแล้ว หากยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ควรให้ความเห็นรอบด้านทั้งเชิงบวกและลบ เพื่อไม่ให้ผู้ลงทุนมีความคาดหวังสูงเกินจริง
ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียน หรือผู้บริหารก็ควรจะให้ข่าวต่อเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และข้อยุติเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีแล้ว รวมทั้งหลีกเลี่ยงการให้ข่าวว่าบริษัทจะมีกำไรทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนในการบันทึกบัญชี เพราะอาจมีผลต่อราคาหลักทรัพย์ และอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ได้