ธปท. การันตี "แบงก์พาณิชย์ของไทย" ยังแข็งแกร่ง คุมคุณภาพหนี้ได้ดี และมีศักยภาพรับมือ ศก.ขาลงได้ แถมยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง แม้จะชะลอตัวนานถึง 2 ปี พร้อมกันสำรองสูงถึง 157% ย้ำเอ็นพีแอลทรงตัวที่ระดับ 2.3% ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามกระแสข่าวที่หลายคนหวั่นวิตก
นางสาลินี วังตาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้ธนาคารพาณิชย์ ทำการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) เพื่อประเมินความสามารถของธนาคารพาณิชย์ และความเพียงพอของฐานะการเงิน ซึ่งผลจากการทดสอบภาวะวิกฤตได้สมมติในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ เศรษฐกิจแย่ ไม่ขยายตัว 1-2 ปี พบว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย ในส่วนของสินเชื่อยังมีความแข็งแกร่ง แม้ประเทศไทยจะอยู่ในภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจธนาคารพาณิชย์ยังสามารถรับมือได้
"ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังแข็งแกร่ง โดยการดูแลคุณภาพหนี้ของเรา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก จากการทดสอบความแข็งแกร่ง หากเศรษฐกิจซบเซาไปอีก 1-2 ปียังสามารถรับมือได้ แต่ยอมรับว่า เอ็นพีแอลอาจมีการปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของเรา มีการกันสำรองที่เพียงพอ โดยมีการกันสำรองส่วนเกินอยู่ถึง 157% และธนาคารพาณิชย์ของไทย ยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว"
แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สิ้นเดือนมีนาคม 57 มีการเติบโต9.8%ลดลงจากสิ้นปี 2556 ที่เติบโต 11.34 % ตามภาวะการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยมีหนี้ที่คาดว่าจะเสีย (เอ็นพีแอล) ที่ระดับ 2.3% ซึ่งยังอยู่ในระดับทรงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามกระแสข่าวที่หลายคนหวั่นวิตก
โดยส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลเกิดจากการดูแลใกล้ชิดของธนาคารพาณิชย์ หากลูกหนี้มีปัญหาจะเข้าช่วยเหลือทันที และลูกหนี้บางกลุ่มมีการขอดยืดระยะเวลาในการใช้หนี้ออกไป ส่งผลให้ ส่วนของสินเชื่อที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (เอสเอ็ม) ปรับลดลงในเดือนมีนาคมเหลือ 2.3% จากปี 2556 ที่ 2.4%
หากแบ่งหนี้เป็นรายกลุ่มนั้นพบว่า คือสินเชื่อเอสเอ็มอี ในเดือน มี.ค. ยังมีการเติบโตที่ 11.7% ยังอยู่ในระดับที่ดี แม้จะลดลงจากปี 2556 ที่เติบโตที่ 14.66% มีอัตราเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3.6% อยู่ในระดับทรงตัว ในส่วนของเอสเอ็มอยู่ที่ประมาณ 2.1%
"สินเชื่อเอสเอ็มอีโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ดี และน่าดีใจไม่ได้มีปัญหาตามที่มีกระแสข่าว ปัจจุบันมียอดสินเชื่อเอสเอ็มอีประมาณ 4 ล้านล้านบาท จากสินเชื่อทั้งหมด 10 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นเอสเอ็มอีขนาดเล็กมากที่จะมีปัญหา"
ส่วนการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่เดือนมี.ค.อยู่ที่ 6.9% จากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ 6.68% หดตัวลดลงเล็กน้อย โดยมีเอกชนบ้างรายหันไปออกหุ้นกู้ เพื่อลงทุนมากขึ้น ด้านสินเชื่อรายย่อยเดือน มี.ค. เติบโต 10.7% ลดลงจากปี 2556 ที่ 12.89% ลดลงอย่างมากในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 2.5% จากเดิมที่เคยขยายตัวกว่า 30%
ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เติบโตประมาณ 7% จากเดิมที่เคยขยายตัวกว่า 20% ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อรายย่อย ปัจจุบันมีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.4% อยู่ในระดับทรงตัว สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เอ็นพีแอลทรงตัวนั้น เกิดจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกหนี้ลงได้บางส่วนขณะที่เอสเอ็มอยู่ที่ 3.4%