หัวเรือใหม่ไฟแรง ทุ่มงบกว่า 700 ล้านบาท จ่อซื้อที่ดิน 35 ไร่สร้างอาณาจักรถ่ายทำภาพยนต์ครบวงจร หวังดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าถ่ายทำหนังในประเทศไทย เหตุค่าใช้จ่ายถูกกว่าหากเทียบกับประเทศอื่น แย้มเป้าเติบโตปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20-25% รับอานิสงค์จากดิจิตอลทีวีเต็มเป๋า
นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น หรือ MATCH กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 690 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 700 ล้านบาทผุดสตูดิโอบนที่ดิน35ไร่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเฉพาะจากทีวีดิจิตอลที่เริ่มออกอากาศช่วยกระตุ้นการโฆษณามากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้โดนผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ประกอบกับ ขณะนี้มีภาพยนตร์ต่างประเทศได้แก่ จีนและอินเดีย ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยมากขึ้น เพราะต้นทุนการถ่ายทำของไทยมีราคาที่ถูกกว่า
"ปีนี้รายได้ของเราจะมีการเติบโตที่ดีทั้งด้านรายได้และกำไรจากธุรกิจหลักของเราที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกันมีหนังฟอร์มยักษ์ที่ต้องการเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยมากขึ้น เพราะต้นทุนของประเทศเราค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้เรายังจะมีการลงทุนไปในประเทศพม่าเป็นประเทศแรก เพราะการลงทุนไม่มาก และใกล้ขณะที่พม่ายังมีความต้องการมากทั้งเรื่องของอุปกรณ์และบุคลากร ซึ่งบริษัทเรามีความพร้อมค่อนข้างมาก นอกจากนี้เรายังมองการลงทุนไปในอินโดนิเซีย เพื่อที่จะรองรับการเปิด AEC ด้วย"
นอกจากนี้บริษัทฯอยู่ในช่วงของการเจรจาเพื่อร่วมลงทุนกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดย MATCH จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 25-30% และจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสื่ออีกอย่างน้อย 1 ราย คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้
ทั้งนี้บริษัทได้วางแผนก่อสร้างโครงการสตูดิโอและเมืองถ่ายหนังครบวงจร หรือ New Home มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เพื่อรองรับการถ่ายทำแบบกลางแจ้ง ถ่ายในร่ม และการถ่ายใต้น้ำ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์การถ่ายทำที่ทันสมัยและครบวงจร ได้มาตรฐานอยู่ในระดับชั้นนำของอาเซียน มีการจำลองสถานที่ต่างๆ เป็นฉากถ่ายทำ เช่น ทางด่วน และสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น ล่าสุดบริษัทได้ข้อสรุปในการซื้อที่ดินซึ่งมีอยู่ 3 แปลงที่เหมาะสมคือ บริเวณรังสิต นครนายก และปทุมธานี มูลค่า 400 ล้านบาทแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 2/2557 และแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2559 โดยโครงการก่อสร้างสตูดิโอครบวงจรจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯเติบโตอย่างก้าวกระโดดและจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลาประมาณ 8-10 ปี
"รายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นหลังจากที่เปิดให้บริการสตูดิโอครบวงจรเมื่อแล้วเสร็จในปี 2559 ซึ่งบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการเช่าสถานที่และอุปกรณ์การถ่ายทำภาพยนตร์ เพราะปัจจุบันมีรายได้จากธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำและผลิตรายการเป็นสัดส่วนถึง 80% จากรายได้ทั้งหมด"
