“เฌอร่า” ประกาศทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท ผุดโรงงานไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ฟิลิปปินส์ คาดเดินเครื่องผลิตได้ในปี 60 หลังประสบความสำเร็จจากรุกทำตลาดด้วยการจับมือโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ CW Home Depot ปี 56 กวาดยอดขายกว่า 300 ล้านบาท
นายสารัตถ์ เกียรติบรรลือ ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ บริษัท โอลิมปิค กระเบื้องไทย จำกัด ผู้จัดจำหน่ายวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์แบรนด์ ‘เฌอร่า’ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมงาน“WORLDBEX” ครั้งที่ 19 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยประกาศทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 600 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยคาดแล้วเสร็จพร้อมเดินไลน์การผลิตได้ภายในปี 2560
โดยโรงงานดังกล่าวจะรองรับความต้องการในฟิลิปปินส์ ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ที่ผ่านมามียอดขายกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 300 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น 30%
ทั้งนี้ภายหลังจากที่บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง CW Home Depot โมเดิร์นเทรดรายใหญ่ของฟิลิปปินส์ ในการนำผลิตภัณฑ์เฌอร่าครบทุกสินค้าไปวางจำหน่าย ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ ผลิตภัณฑ์เฌอร่าบอร์ด และกลุ่มหลังคา มีการนำกลยุทธ์การตลาดแบบ Experience Marketing ที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดในไทยไปใช้ในตลาดฟิลิปปินส์ด้วย
นอกจากนี้ กลยุทธ์เชิงรุกด้วยแคมเปญ OPOH (One Project One House) ที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของเฌอร่าในบ้าน หรือโครงการตัวอย่างสำหรับเจ้าของบ้านชาว ฟิลิปปินส์ ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สามารถเป็นแลนด์มาร์กได้อย่างโดดเด่น เพื่อเป็นการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์แบรนด์ โดยลูกค้าชาวฟิลิปปินส์สามารถเข้าร่วมโครงการผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลดสูงถึง 50%
รวมถึงการสร้าง “เฌอร่าแกลเลอรี” ที่แสดงให้เห็นถึงผลิตภัณฑ์เฌอร่าครบทั้ง 7 ระบบ ในสาขาหัวเมืองเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ คือ Alabang, Ortigas, Manila Bay, Balintawa เพื่อให้ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์เห็น และเข้าใจศักยภาพของเฌอร่า ทำให้เกิดการยอมรับในผลิตภัณฑ์และคุณภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งขันในท้องถิ่น
ปัจจุบัน เฌอร่ายังก้าวไปสู่ผู้นำแห่งการพัฒนานวัตกรรม Innovation ใหม่ตลอดเวลา ด้วยสินค้าที่เป็น Green Product ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาด AEC โดยเฌอร่าผ่านการรับรองฉลากเขียว (Green Label) ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในการส่งออกให้เติบโตได้