xs
xsm
sm
md
lg

นักวิเคราะห์มองข้ามช็อตไปช่วงหลังสงกรานต์ แนะติดตามผลประกอบการแบงก์ Q1/57

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โบรกฯ เผยหุ้นแกว่งตัวมีลอลุ่มเทรดน้อย เพราะใกล้หยุดยาว 4 วัน แนะมองไปช่วงหลังสงกรานต์ ดัชนีอาจมีลุ้นแตะ 1,400 จุด พร้อมให้ติดตามการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2557 ของกลุ่มแบงก์ 17-25 ม.ย.นี้ “เจพีมอร์แกน” คาดกำไรสุทธิ 9 แบงก์อาจไม่ทำให้ตื่นเต้น เชื่อจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้าน ลดลง 2% ระบุ “กสิกร-ใบโพธิ์” น่าลงทุนสุดในกลุ่ม “ธ.กรุงเทพ” เป็นหุ้นปลอดภัย และความเสี่ยงน้อย

นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว และมีวอลุ่มเทรดน้อย เนื่องจากกำลังจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว 4 วันเทศกาลสงกรานต์ แต่เชื่อนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้ออยู่ ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบจากการขายทำกำไร (take profit) ตามปกติ หลังจากที่ดาวโจนส์ร่วงแรงวานนี้

ทั้งนี้ ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ยังมีประเด็นทางการเมืองที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ในกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดีโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขอยืดเวลาเข้าชี้แจง ดังนั้น จะต้องรอดูว่าทางศาลฯ จะให้เลื่อนหรือเปล่า ถ้าให้เลื่อนออกไปการเมืองก็จะเบาลง ดัชนีน่าจะมีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนว 1,400 จุดได้ แต่ถ้าไม่เลื่อนมองว่าดัชนีฯ คงจะแกว่งตัวเพื่อรอดูทิศทางอีกที

นอกจากนี้ หลังสงกรานต์ยังจะต้องติดตามการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2557 ของกลุ่มแบงก์ด้วย ซึ่งจะทยอยประกาศในวันที่ 17-25 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าจะออกมาทรงตัว ยกเว้น KTB ที่คาดว่าจะเติบโตทั้ง qoq และ yoy สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ คาดว่าตลาดฯ คงจะแกว่งตัว พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,380-1,390 จุด

ด้านเจพีมอร์แกน ธนาคารชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐฯ ได้เผยแพร่งานวิเคราะห์ เรื่อง “แบงก์ไทยกับคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ไม่น่าตื่นเต้น แต่สามารถทำกำไรต่อหุ้นได้” โดยระบุว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะเริ่มฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2557 ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เม.ย.นี้แล้ว และทางเจพีมอร์แกน คาดว่าผลประกอบการที่ออกมาไม่น่าตื่นเต้น ขณะที่สินเชื่อไม่มีการขยายตัว แต่กำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) น่าจะช่วยหนุนผลประกอบการได้บ้าง

ทั้งนี้ การเติบโตของค่าธรรมเนียมยังคงเป็นบวก ยกเว้นรายได้เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ที่ส่งผลกระทบถึงธนาคารมีขนาดเล็กกว่า และที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างคุมเข้มงบใช้จ่ายของตัวเอง ซึ่ง เจพีมอร์แกน คิดว่าภาคธนาคารไทยจะสามารถคงผลตอบแทนจากหุ้นทุน (ROE) ไว้ที่ 16% ส่วนคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมถอยลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ในกลุ่มค้าปลีก และธุรกิจขนาดกลางถึงย่อม หรือเอสเอ็มอี ขณะเดียวกัน มีการเตือนด้วยว่า ต้นทุนเกี่ยวกับสินเชื่อของธนาคารต่างๆ ปรับสูงขึ้นด้วย

รายงานของ เจพีมอร์แกน คาดว่ากำไรสุทธิโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ไทย 9 แห่ง จะเท่ากับ 5 หมื่นล้านบาท เป็นการขยายตัวติดลบ 2% ในไตรมาสแรกปีนี้ เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5% หากเทียบไตรมาส 4/2556 สถานการณ์การปล่อยกู้ซื้อรถยนต์แสดงให้เห็นถึงการหดตัวอย่างมากของกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อย่ำแย่ รายได้จากค่าธรรมเนียมเกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่มาพร้อมกับต้นทุนสินเชื่อ

นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่นั้น เจพีมอร์แกน คาดว่า ธนาคารกสิกรไทยจะมีกำไรเติบโตมากที่สุดเทียบปีต่อปี ด้วยแรงขับเคลื่อนของรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน คาดว่าการเติบโตของกำไรสุทธิเทียบปีต่อปีของธนาคารกรุงไทย จะออกมาอ่อนแอที่สุด เนื่องจากต้นทุนปล่อยกู้สูงขึ้น และรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิออกมาไม่ดี ผลจากไม่มีเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วย ส่วนธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ มีแนวโน้มจะแสดงผลประกอบการทรงตัว

เจพีมอร์แกน มองว่าแนวโน้มรายได้การปรับตัวด้านการบริหารงาน และการปรับลดเป้าหมายทางการเงิน มีเพียงกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) เท่านั้นที่ออกมาดี กรณีที่สินเชื่อไม่เติบโต และในที่สุดทำให้ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดเป้าหมายทางการเงิน ธนาคารจึงเพ่งเล็งไปที่การบริหารต้นทุน และควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าการเติบโตของสินเชื่อ และคาดการณ์รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยส่วนใหญ่สอดคล้องกับการทบทวนเป้าหมายการบริหารงานของธนาคาร

สิ่งที่อาจสร้างความแปลกใจ เป็นเรื่องต้นทุนการปล่อยกู้ในภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจโดยรวมอ่อนแอลงเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น และทั้งๆ ที่ดอกเบี้ยมาตรฐานปรับลดลง แต่ธนาคารพาณิชย์กลับปล่อยส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้เป็นผลจากภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจโดยรวม สถานการณ์เช่นนี้จะช่วยหนุนกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ นอกเหนือจากการตัดลดต้นทุนแหล่งเงินทุน เป็นผลจากการแข่งขันแย่งเงินฝากมีน้อยลง

เจพีมอร์แกน ยังระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพ และยกให้ธนาคารกสิกรไทย กับธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารไทยเพียง 2 แห่งที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะเชื่อว่าธนาคารทั้ง 2 แห่งนั้นมีต้นทุนการบริหารงานที่ดีกว่า และมีความสามารถทำรายได้ได้มากกว่า

รายงานดังกล่าวยังชี้ว่า ธนาคารกรุงเทพ เป็นหุ้นปลอดภัยความเสี่ยงน้อย แต่ยังขาดปัจจัยหนุน ส่วนหุ้นธนาคารกรุงไทย ราคาถูก แต่คิดว่าความเสี่ยงเรื่องผลประกอบการถือว่าสูงผลจากรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยกับแนวโน้มการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญนั้นไม่ค่อยดี

ขณะเดียวกัน เจพีมอร์แกน ยังคงไม่แนะนำธนาคารเน้นปล่อยกู้ หรือให้สินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากยอดขายรถยนต์ซบเซา ค่าธรรมเนียมเกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมเกี่ยวข้องกับตลาดทุน และคุณภาพสินทรัพย์ดูไม่ค่อยดี
กำลังโหลดความคิดเห็น