ผู้บริหารธนาคารพาณิชบ์ คาดหวังปัญหาการเมืองจบโดยเร็ว หวั่นกระทบไทยถูกปรับลดเรตติ้ง ดันต้นทุนกู้เงินเพิ่ม ยอมรับ ศก.ไตรมาสแรกโตต่ำกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้แบงก์ต้องปรับแผนธุรกิจใหม่ พร้อมหั่นเป้าสินเชื่อเหลือโตแค่ 6-8% จากเดิมคาดจะโตได้ถึง 10% พร้อมระมัดระวังการปล่อยกู้
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 3 แห่ง คือ ฟิทช์ เรทติ้งส์ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส จะทบทวนเรตติ้งของประเทศไทย โดยอาจมีการปรับลดลง เนื่องจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อจนกระทบเศรษฐกิจ โดยระบุว่า หากมีการปรับลดเรตติ้งของประเทศไทยจริง คงกระทบทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของทั้งรัฐ และเอกชนสูงขึ้น แต่ยังเชื่อว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะไม่ปรับลดเรตติ้งของไทยลง เพราะยังคาดหวังว่าสถานการณ์การเมืองจะจบโดยเร็ว
ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 เท่านั้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ ต้องมีการปรับแผนธุรกิจ เพราะเดิมวางแผน และเป้าหมายธุรกิจภายใต้สมมติฐานจีดีพีทั้งปีโตร้อยละ 5 แต่ขณะนี้จีดีพีปีนี้โตเพียงร้อยละ 3 ทำให้ลดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อเหลือโตร้อยละ 6-8 จากเดิมคาดโตร้อยละ 10 และต้องดูแลคุณภาพของสินเชื่อ โดยธนาคารพร้อมดูแลลูกค้าที่มีปัญหาในการผ่อนชำระ เพื่อรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารไม่ให้เกินร้อยละ 2.2
ด้านนายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อบ้าน โดยกำหนดเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้กระทบต่อคุณภาพ ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ประชาชนยังต้องการที่อยู่อาศัย โดยวงเงินสินเชื่ออยู่ที่ 3-4 ล้านบาทต่อราย ซึ่งลูกค้ามีความระมัดระวังในการขอกู้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณคุณภาพสินเชื่อที่ผิดปกติ