นายฐากร ปิยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด หรือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2557 ว่า บริษัทจะเน้นการร่วมมือ และเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรทางธุรกิจของเราในการพัฒนาสินค้า บริการ และกิจกรรมการตลาดที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต และความต้องการของลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์ พร้อมขยายช่องทางการให้บริการ โดยจะพัฒนาเคาน์เตอร์บริการขยายเป็นจุดให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน ก็สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตแบบ DigitaLife ของคนในปัจจุบัน พร้อมๆ ไปกับการติดตาม และแก้ปัญหาหนี้เสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง
ทั้งนี้ จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่ส่งผลให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นที่อาจทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ดังนั้น บริษัทจึงเฝ้าระวังสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อหนี้เสียนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าเมื่อตรวจพบสัญญาณการผ่อนชำระที่ผิดปกติ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้า และช่วยลูกค้าบริหารจัดการหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการบริหารความเสี่ยง ทั้งการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมก่อนการอนุมัติ การปรับเพิ่มรายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ จากเดิม 8,000 บาท ขึ้นเป็น 10,000 บาท การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบข้อมูลจากเครดิตบูโร และเพิ่มจำนวนพนักงานติดตามทวงถามหนี้ โดยเชื่อมั่นว่าการติดตามหนี้ และแก้ไขปัญหาหนี้เป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจปีนี้
“ถึงแม้ปี 2557 จะมีปัจจัยที่ท้าทายให้การใช้จ่ายภายในประเทศชะลอตัวลง แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจของบริษัทจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายมีจำนวนลูกค้ารวม 7.12 ล้านบัญชี มียอดใช้จ่ายรวม 3 แสนล้านบาท มียอดสินเชื่อรวม 1.25 แสนล้านบาท”
สำหรับผลงานปี 2556 ยังสามารถเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีจำนวนลูกค้าใหม่ 816,000 บัญชี มีลูกค้ารวม 6.73 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 10% มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวม 2.8 แสนล้านบาท เติบโต 12% มียอดสินเชื่อรวม 1.18 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% โดยเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในส่วนของบัตรเครดิตที่ 1.3% และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 3.2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจที่ 2.3% และ 3.7% ตามลำดับ