“พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง” พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 14 มีนาคมนี้ โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 2 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 13,287 ล้านบาท หลังระดมทุน 3,345.40 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง (PCSGH) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมหมวดยานยนต์ ในวันที่ 14 มีนาคม 2557 ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญ และมีคุณภาพแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน และหวังว่าตลาดทุนไทยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจแก่ PCSGH ในอนาคต
สำหรับ PCSGH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ โดยถือหุ้นในบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท พี.ซี.เอส.พรีซิชั่น เวิร์ค จำกัด 2.บริษัท พี.ซี.เอส.ได คาสติ้ง จำกัด 3.บริษัท พี.ซี.เอส.ฟอร์จจิ้ง จำกัด กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทคือ กลุ่มผู้ผลิตและประกอบรถยนต์ชั้นนำ เช่น GM Group, Isuzu Motors, Toyota Motors, Auto Alliance (Thailand) เป็นต้น และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับ Tier-1 เช่น Continental Automotive, ZF, Kayaba เป็นต้น
ทั้งนี้ PCSGH มีทุนชำระแล้ว 1,545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,156 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 389 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 5-7 มีนาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 8.60 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นแกนนำจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด
นายศิริพงษ์ รุ่งโรจน์กิติยศ ผู้ก่อตั้ง และรองประธานกรรมการ PCSGH เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมเงินทุนเพื่อชำระคืนเงินกู้และขยายธุรกิจรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อย่างเต็มตัวในปี 2558
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PCSGH 3 ลำดับแรก ได้แก่ นายศิริพงษ์ รุ่งโรจน์กิติยศ ถือหุ้น 37.41% นางวรรณา เรามานะชัย ถือหุ้น 37.41% และกองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือหุ้น 1.11% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 9.66 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 มกราคม 2556-31 ธันวาคม 2556) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.89 บาท บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย