“คราวน์ เทค แอดวานซ์” ผู้ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “AJ” พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 27 กุมภาพันธ์นี้ โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ ด้วยมูลค่าระดมทุน 250 ล้านบาท เพื่อขยายกิจการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. คราวน์ เทค แอดวานซ์ (AJD) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่าตลาดทุนไทยจะเป็นแหล่งระดมทุนที่ช่วยสานโอกาสให้ AJD พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้เติบโต แม้ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลจากทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ
AJD ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “AJ” ซึ่งประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มภาพและเสียง เช่น เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเสียง ลำโพง และชุดโฮมเธียเตอร์ เครื่องเล่นคาราโอเกะ และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เช่น เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า กระติกน้ำร้อน บริษัทจัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดโดยการนำเข้า และจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่เป็นหลัก
โดย AJD มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 20-21 และ 24 กุมภาพันธ์ 2557 ในราคาหุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 250 ล้านบาท มีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายอมร มีมะโน กรรมการผู้จัดการ AJD เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีที่ได้นำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีเป้าหมายในการสร้างตราผลิตภัณฑ์ AJ ให้แข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับต่อผู้บริโภคทั่วไป ทั้งในด้านคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม ในส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจหลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ AJD 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มนายอมร มีมะโน ถือหุ้น 47.41% กลุ่มนายพิภัทร์ ปฏิเวทภิญโญ ถือหุ้น 27.17% และกลุ่มนายสมโภช บูรพาสกุล และกลุ่มนายอเนก พัฒนสฤษฎ์ ถือหุ้นกลุ่มละ 3.67% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 47.61 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 4 ปี 2555 - ไตรมาส 3 ปี 2556) เท่ากับ 31.5 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.053 บาท บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองต่างๆ ทั้งหมดของบริษัท