กุนซือ mai สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เผยเตรียมคลอดหุ้น IPO ใหม่ดัน AJD เฟิร์สเทรด 27 ก.พ. นี้ และอีกอย่างน้อย 6 บริษัท ภายในเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ พร้อมเตรียมเดินหน้าโรดโชว์ทั้งใน-ต่างประเทศ หวั่นการเมืองกระทบ บจ. ลดต้นทุนเลิกจ้างกด GDP ไทยติดลบ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. ที่มีการเลื่อนเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองที่ผ่านมาเริ่มเตรียมที่จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว โดยแบ่งเป็นใน SET จำนวน 4 บจ. ใน mai จำนวน 1 บจ. และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) อีก 1 กอง ในขณะที่ บมจ.คราวน์ เทค แอดวานซ์ หรือ AJD จะเข้าทำการซื้อขายในวันที่ 27 ก.พ.57 นี้ โดยที่จะมีการเสนอขาย IPO ในวันที่ 21-24 ก.พ. และในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. จะมีอีก 5-6 บริษัท เข้าทำการซื้อขายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนด้วย
“ขณะเดียวกัน ตอนนี้หลายบริษัทเริ่มที่จะกลับเข้ามาตลาดฯ อีกครั้ง หลังจากที่เลื่อนออกไปเพราะต้องการรอดูภาวะทางการเมือง ซึ่งตอนนี้คงเร็วไปที่จะมีการปรับเป้ามาร์เกตแคป เพราะหลายบริษัทเริ่มจองวันเทรดกันแล้ว รวมถึงยังมีบริษัทที่รอการอนุมัติอีกกว่า 40 หลักทรัพย์ ซึ่งความชัดเจนต่างๆ น่าจะเห็นในช่วงปลายไตรมาส 2 หลังจากงบปี 56 ออกมาครบทั้งหมด ทั้งนี้ ตลท.เตรียมที่จะเดินทางไปโรดโชว์ทั้งใน และต่างประเทศหลังช่วงสงกรานต์ แม้ว่าสถานการณ์ปัญหาการชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยจะอยู่ในช่วงภาวะวิกฤต ซึ่งจะมีการโรดโชว์ทั้งหมด 7 ประเทศ พร้อมกับงาน Thailand Focus และ Mini Thailand Focus ที่เป็นการโรดโชว์ในประเทศ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลของภาพรวมตลาดหุ้นไทย และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยให้แก่นักลงทุนต่างชาติด้วยอีกด้วย”
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 40 บริษัท ที่อยู่ในระหว่างรอการอนุมัติจาก ก.ล.ต. โดยแบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 15-16 บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 7 บริษัท ตลอดจนถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 13 กอง และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จำนวน 1 กอง ซึ่งจะทำให้ยอดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการระดมทุนปีนี้ยังคงอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท
“กลุ่มบริษัทจดทะเบียนขนาดกลาง และขนาดเล็กจะกระทบในเรื่องของต้นทุนด้านการขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นจากการชุมนุม และมียอดขายที่มีปรับตัวลดลงจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งหากกินระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นอาจจะทำให้มีการเลิกจ้างแรงงานมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนรายจ่าย ส่วนบริษัทที่มีโครงการกับหน่วยงานราชการอาจต้องประสบปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียนที่ขาดสภาพคล่อง เพราะไม่สามารถรับ หรือส่งงานได้ในช่วงระหว่างที่มีการปิดหน่วยงานต่างๆ”
ทั้งนี้ ยอมรับว่าสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ที่มีการชุมนุมยืดเยื้อกินเวลายาวนานกว่า 4 เดือน จะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถ้าหากมีการยืดเยื้อยาวนานมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบให้มีการปรับลดจำนวนพนักงานเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้ โดยธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลางจะได้รับความเสียหายโดยตรงอย่างชัดเจน ซึ่งหากเทียบกันกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการค้าขายทั้งใน และต่างประเทศ ตลอดจนถึงความหลากหลายของธุรกิจในเครือ โดยหากประสบกับปัญหาทางด้านต้นทุน รวมถึงบริษัทจดทะเบียนที่มีการติดต่อกับส่วนราชการ อาจจะส่งผลให้ประสบกับปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียน เนื่องจากโครงการเบิกจ่ายอาจต้องชะลอออกไป และไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ในช่วงที่มีการชุมนุม