ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวเลขกำไร บจ. ปี 56 เติบโต 7.92% หรือวงเงิน 7.66 แสนล้าน กลุ่มวัสดุก่อสร้างโดดเด่น โชว์กำไรพุ่ง 39.10% นักวิเคราะห์ประเมินผลกระทบปัญหาการเมือง เศรษฐกิจโตถดถอย เตรียมหั่นกำไรปีนี้ลงเหลือแค่ 6% ขณะที่ระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น ปรับลดลงมาอยู่ที่ 12.6 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 20% แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเป็น 40% จากเดิมที่ 30% เพราะแรงกดดันทางการเมืองมีแนวโน้มลดลง และราคาหุ้นได้สะท้อนไปแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยรายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2556 จำนวน 468 บริษัท จากทั้งสิ้น 518 บริษัท มีกำไรอยู่ที่ 766,449.44 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 710,204.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.92%
โดยผลของรายงานกำไรสุทธิ แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า หมวดอุตสาหกรรมที่มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่มีกำไรสุทธิ 113,475 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39.10% รองลงมาได้แก่ กลุ่มการเงินและการธนาคาร มีกำไรสุทธิที่ 224,552.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28.86% และเทคโนโลยี มีกำไรสุทธิ 72,665.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.85%
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานลดลงมากที่สุดนั้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอาหาร มีกำไรสุทธิที่ 26,813 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 38.58% รองลงมา สินค้าอุปโภคและบริโภค ที่มีกำไรสุทธิ 5,422.10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 19.83% และกลุ่มพลังงาน มีกำไรสุทธิ 201,131.54 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 7.81%
นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มีกำไรสุทธิ 7.7 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 90.05 บาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง 5.8% จากปีก่อน ถือว่าต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อย กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรเติบโตมากกว่าตลาดนั้น นำโดยกลุ่มประกันภัยที่มีการเติบโต 210 % รองลงมา กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม มีกำไรเติบโต 174% และกลุ่มอาหาร มีกำไรเติบโต 89% ส่วนกลุ่มที่มีกำไรหดตัวลง ได้แก่ กลุ่มขนส่ง กำไรสุทธิลดลง 51% กลุ่มการแพทย์ กำไรลดลง 13%
ส่วนแนวโน้มปีนี้ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนคาดจะอยู่ที่ 888,904 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 102.28 บาท เติบโต 13.59% โดยกลุ่มที่คาดจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มประกันภัย ที่คาดจะเติบโต 38% กลุ่มอาหารจะเติบโตประมาณ 31%
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มพอร์ตการลงทุนเป็น 40% จากเดิมที่ 30% เพราะแรงกดดันทางการเมืองมีแนวโน้มลดลง แม้ปัญหาการเมืองยังค้างคาอยู่ก็ตาม แต่เชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันไปแล้ว พิจารณากำไรต่อหุ้นที่ 102.28 บาท และราคาปิดกำไรต่อหุ้นที่ 13.2 เท่า ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แนะนำให้สะสมหุ้นในกลุ่มพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศผสมผสานกัน
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2556 ที่ออกมานั้นถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ ส่งผลให้ระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 12.6 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 20% แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงขาดเสน่ห์ในการลงทุน และต้องเสี่ยงกับแนวโน้มที่จะเป็นขาลงอยู่
“กำไรบริษัทจดทะเบียนในปี2556 เติบโต ที่ระดับ 7 % จากที่คาดกันไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 15.3% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตไม่ถึง 2 หลัก และการชะลอตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน จะกดดันให้หลายสำนักวิจัยอาจต้องปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ให้ลดลง”
ทั้งนี้ มองว่าการเติบโตของกำไรในปี 2557 นั้นจะเติบโตได้เพียง 6.8% เท่านั้น เป็นปีที่ 2 ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนชะลอตัวลง เป็นผลจากภาวการณ์การเมืองที่ยังคงมีความยืดเยื้ออยู่ และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมองว่า น่าจะสามารถจบลงได้ภายในครึ่งปีแรก ซึ่งกลุ่มที่อาจมีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีจนอาจต้องปรับประมาณการลงนั้น ได้แก่ กลุ่มขนส่ง กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนกลุ่มที่น่าจะทรงตัวนั้น ได้แก่ กลุ่มส่งออก โดยมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,433 จุด ที่ระดับพีอี 13.9 เท่า
ด้าน น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปีที่ผ่านมา เป็นไปตามที่คาด แต่สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความยืดเยื้อในปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการทบทวนกำไรบริษัทจดทะเบียนใหม่ จากเดิมที่มองว่าจะเติบโตที่ 12% ให้ปรับตัวลดลงเช่นกัน