“เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส” คาดแนวโน้มผลงานปี 57 สดใส หลังประเมินภาพรวมธุรกิจ และตัวเลขการตัดต้นทุนลูกหนี้ในหนี้กองใหญ่ที่ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คาดไตรมาส 2/57 เป็นต้นไป JMT จะรับรู้รายได้ดังกล่าวเต็มจำนวนทั้ง 100% แถมลุยซื้อหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่ม คาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีโตสุดๆ 80% เมื่อเทียบกับปี 56 ผู้บริหารแม่ทัพคนสำคัญ เผยผลงานปี 56 ที่ออกมาลดลง เป็นผลจากการเร่งตัดต้นทุนทางบัญชีในหนี้ขนาดใหญ่ให้หมด เพื่อรับรู้กำไรเต็มๆ ในปี 57 นี้
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างตัดลูกหนี้ต้นงวดในหนี้ขนาดใหญ่ที่ซื้อเข้ามาบริหารในช่วงก่อนหน้านี้ใกล้หมดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากตัดลูกหนี้ต้นงวดเสร็จสิ้น บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากกระแสเงินสดรับจริงในหนี้ดังกล่าวทั้ง 100% และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2557 เป็นต้นไป เข้ามาสนับสนุนผลประกอบการบริษัทฯ ทั้งปีให้เติบโตอย่างโดดเด่น
นอกจากนี้ บริษัทฯ เดินหน้าเข้าประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาของสินเชื่อส่วนบุคคล กับบริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) (อีซี่บาย) โดยสัญญามีมูลค่าหนี้คงค้างตามสิทธิเท่ากับ 637 ล้านบาท และลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กับบริษัท ธนบรรณ จำกัด โดยสัญญามีมูลค่าหนี้คงค้างตามสิทธิ เท่ากับ 239 ล้านบาท โดยตั้งเป้าจะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเข้ามาบริหารในปีนี้อีก 1.3 หมื่นล้านบาท เข้ามาสนับสนุนผลประกอบการทั้งปี 2557 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดกำไรสุทธิทั้งปีเติบโตโดดเด่นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556 อยู่ที่ 75.08 ล้านบาท
“ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อส่วนบุคคล กับ อีซี่บาย มูลค่า 637 ล้านบาท และลงนามซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กับ ธนบรรณ มูลค่า 239 ล้านบาท รวม 2 เดือนแรกของปี JMT ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารแล้ว 876 ล้านบาท ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของปีนี้ ในการซื้อหนี้เพิ่มอย่างต่อเนื่อง เชื่อเป้าหมายการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้ที่วางไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท จะเป็นไปตามนั้น” นายปิยะกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้ในปี 2556 อยู่ที่ 362.33 ล้านบาทเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 393.74 ล้านบาท คิดเป็นการปรับลดลง 31.41 ล้านบาท หรือ 7.98% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 75.08 ล้านบาท จากปีก่อนกำไรอยู่ที่ 110.15 ล้านบาท ปรับลดลง 35.07 ล้านบาท หรือ 31.84%
ทั้งนี้ รายได้ที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจากบริษัทฯ มีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพลดลงอยู่ที่ 255.11 ล้านบาท จากปี 2555 อยู่ที่ 279.90 ล้านบาท คิดเป็นการปรับลดลง 24.78 ล้านบาท หรือ 8.85%จากการเร่งตัดเงินลงทุนในลูกหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบทางบัญชี ทำให้การรับรู้รายได้ลดลง ประกอบกับรายได้จากการติดตามหนี้สินในปี 2556 มีรายได้ 97.44 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้านี้ 8.72 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.21 เมื่อเทียบกับปี 2555 จากอัตราค่าบริการติดตามหนี้สินที่ลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 84.19 ล้านบาท จากปี 2555 อยู่ที่ 58.45 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 25.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.03 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ จากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ, ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน, ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน และค่าเช่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นจากการขยายงานอย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลงวดดำเนินงาน (วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2556) ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท กำหนดปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุมตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ วันที่ 7 มีนาคม 2557 โดยก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้จ่ายปันผลระหว่างกาลในงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท ส่งผลให้บริษัทฯ จ่ายปันผลรวมทั้งปี 2556 ที่อัตราหุ้นละ 0.19 บาท สำหรับปันผลในงวดครึ่งปีหลังนี้กำหนดจ่ายในวันที่ 30 เมษายน 2557