“คลัง” หวั่นไทยถูกปรับลดอันดับเครดิตประเทศ คาดเป็นผลจากปัญหาการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ และปัญหาถูกลากยาวข้ามปี อาจกดดันเศรษฐกิจทรุดหนัก คาดปี 57 จีดีพีโตได้แค่ 3% จากเดิมคาดไว้ 4%
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มั่นใจว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะไม่ปรับลดระดับเครดิตของประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศกำลังได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หลังจากเจ้าหน้าที่ของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และฟิทช์ เรทติ้ง ได้เก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจของไทยเสร็จสิ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีประชุมพูดคุยกันทางโทรศัพท์ หรือ conference call กับเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังแทนการเดินทางเข้ามาในประเทศ
ดังนั้น จึงไม่แน่ใจว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะปรับแนวโน้มของไทยลงจากมีเสถียรภาพ Stable Outlook เป็นไม่มีเสถียรภาพ Negative Outlook หรือไม่ แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมายังถือว่าบวก
รายงานข่าวยังระบุว่า จากปัญหาการเมืองที่ลากยาวมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทำให้คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยน่าจะโตได้ประมาณ 3% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ว่าจะโตประมาณ 4% เนื่องจากยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ทำให้ต้องการเลื่อนการใช้จ่ายงบลงทุนออกไปก่อน ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
ทั้งนี้ การปรับแนวโน้มเป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การปรับลดเครดิตของประเทศไทยลงต่อไป การปรับลดเครดิตประเทศจะทำให้รัฐบาล และบริษัทเอกชนมีต้นทุนในการกู้เงินสูงขึ้น โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของรัฐบาลมีดอกเบี้ยประมาณ 4% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราอ้างอิงสำหรับบริษัทเอกชน
ปัจจุบัน มูดี้ส์ จัดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศที่ระดับ Baa1 ซึ่งเป็นอันดับการลงทุนเหนือตราสารหนี้เพื่อเก็งกำไร Junk Bond อยู่ 3 ขั้น และแนวโน้มมีเสถียรภาพ ส่วนฟิทช์ ให้ BBB แนวโน้มมีเสถียรภาพ
ส่วนความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดทำงบประมาณปี 2558 นั้น กระทรวงการคลัง ได้ยืนยันไปว่า หน่วยงานต่างๆ ยังสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามกรอบวงเงินประมาณปี 2557 ไปพลางก่อน โดยมีการเบิกจ่ายได้ทั้งงบรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานต่างๆได้ เพียงแต่ไม่มีงบลงทุนใหม่เท่านั้น
ในขณะที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่า 2 ล้านล้านบาทนั้น ต้องรอให้รัฐบาลใหม่ตัดสินใจก่อน
ส่วนในเรื่องรัฐบาลค้างหนี้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวนั้น ทางบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ได้คิดว่ารัฐบาลผิดนัดชำระหนี้ในทางเทคนิค เนื่องจากเข้าใจว่า ปัญหาทางการเมืองทำให้การจ่ายเงินให้ชาวนามีปัญหา
รายงานข่าวยืนยันว่า รัฐบาลมีรายได้จากเก็บภาษี จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนักในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ กระทรวงการคลังคาดว่า สถาบันจัดอันดับทั้ง 2 แห่งจะประกาศผลการจัดระดับเครดิตของประเทศไทยในช่วงหนึ่ง หรือสองเดือนข้างหน้านี้
โดยก่อนหน้านี้ มูดี้ส์ได้ออกเตือนเกี่ยวกับเรื่องวินัยทางการคลังของไทยที่อาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายรับจำนำข้าว ในขณะที่ล่าสุด ธนาคารโลกประเมินว่า รัฐบาลจะขาดทุนรวมประมาณ 4 แสนล้านบาท สำหรับโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปีแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ส่วนสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี เมื่อเดือนมกราคม ยืนยันความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวที่ระดับ BBB+ ซึ่งเป็นอันดับการลงทุนเหนือตราสารหนี้เพื่อเก็งกำไร 3 ขั้น และยืนยันแนวโน้มมีเสถียรภาพ แต่เตือนว่ากำลังจับตาดูการเมืองไทยว่าจะพัฒนาการไปอย่างไร เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง ผนวกกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำมีผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ