ตลท.จับมือกลุ่มอาเซียนตอนเหนือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เพื่อสร้างความสนใจให้นักลงทุนระดับสากล พร้อมเร่งพัฒนาตลาดทุนรับมือสภาวะผันผวน “วรวรรณ” เผยไทยยังติด 1 ใน 10 ประเทศที่น่าลงทุน “มนตรี” เชื่อครึ่งปีหลังตลาดหุ้นหุ้นฟื้น “นิเวศน์” ยันแผนการลงทุนไม่เคยอิงเรื่องการเมือง แต่จะดูพื้นฐานเป็นหลัก ยันค่าพีอีที่ 14-15 เท่า เหมาะสมกับภาวะตลาด และมั่นคงกว่าในอดีต แถมให้ผลตอบแทนดีกว่าทองคำ อสังหาฯ และเงินฝาก
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เตรียมแผนงานเพื่อรองรับการลงทุนในสภาวะที่มีความผันผวนในปีนี้ไว้ โดยจะร่วมมือพัฒนาตลาดทุนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนตอนเหนือ ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เพื่อให้นักลงทุนระดับโลก และนักลงทุนทั่วไปสนใจตลาดหุ้นไทยให้เป็นเสมือนตลาดทุนของอาเซียนโดยรวม
โดยก่อนหน้านี้ ตลท.ได้มีการร่วมมือกับประเทศมาเซีย และสิงคโปร์มาแล้วในโครงการอาเซียนลิงค์เกจ
ส่วนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่า การส่งออกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของการลงทุนภาครัฐในด้านการอนุมัติงบประมาณต่างๆ ซึ่งหากยังไม่สามารถจัดตั้งรับบาลใหม่ได้ ก็จะส่งผลไปถึงการลงทุนของภาคเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนภาครัฐ
สำหรับด้านการบริโภคมองว่าไม่น่าเป็นกังวลมากนัก ส่วนด้านการท่องเที่ยวโดยรวมยังอยู่ในภาวะที่ดีอยู่ โดยนักท่องเที่ยวหันไปเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต แทน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวในการเสวนา “ลงทุนอย่างไร หากวิกฤตไทยลากยาว” ระบุว่า สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มีเงินทุนไหลออก ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้จะลากยาวกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อเกิน 6 เดือน บริษัทฯ คงต้องปรับการคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลงเหลือโตต่ำกว่าร้อยละ 10 จากเดิมคาดว่าเติบโตร้อยละ 10-12
ดังนั้น สิ่งที่อยากให้ดำเนินการโดยเร็ว คือ ให้มีการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย และให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยภาคการส่งออกขณะนี้ยังไม่กระทบจริง แต่หากไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สั่งออเดอร์
อย่างไรก็ตาม จากการประชุม World Economic Forum ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังติดอันดับ 8 ใน 10 ของประเทศที่น่าลงทุนในอนาคต ดังนั้น จึงหวังให้ปัญหาการเมืองจบลงอย่างรวดเร็ว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาการเมืองน่าจะยืดเยื้อจนถึงครึ่งปีตามที่เคยคาดการณ์ไว้ ดังนั้น คาดว่าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้จะเป็นช่วงที่ยากลำบากมากที่สุดของการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะนักลงทุนยังรอความชัดเจนทางการเมือง
ทั้งนี้ หากยังมีความไม่แน่นอนจะทำให้ตลาดหุ้นซบเซาก่อนที่ครึ่งปีหลังจะเป็นโอกาสของการลงทุน แต่ยังเชื่อว่าหุ้นบางกลุ่มยังลงทุนได้ เช่น กลุ่มอาหารส่งออก ที่ได้ผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโซเซียล มีเดีย สื่อออนไลน์ คึกคักในช่วงการชุมนุมรวมทั้งกลุ่มขนส่ง เช่น รถไฟฟ้า
นายนิเวศน์ เหมวชิวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยผ่านช่วงที่มีโอกาสทำกำไรสูงสุดมาแล้ว เพราะที่ผ่านมา ตลาดหุ้น และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูงมาก อย่างไรก็ตาม พีอีที่ 14-15 เท่าในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสภาพตลาด เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีความมั่นคงกว่าในอดีต โดยคาดผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-8 และยังให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในทองคำ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และเงินฝาก สำหรับหลักการลงทุน ไม่เคยอิงเรื่องการเมือง โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักหากเห็นว่าราคาหุ้นแพงเกินกว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะขายทำกำไร