หุ้นปิดบวก 17.81 จุด เก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 4/2556 และการจ่ายปันผลคึกคัก “กลุ่มสื่อสาร” วอลุ่มทะลัก เผยปัจจัยหนุนจากแนวโน้ม “จีดีพี” ปี 57 ทั้งของ “ธปท.-เวิลด์แบงก์” มองตรงกันว่าจะเติบโตได้ถึง 4%
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (12 ก.พ.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,314.06 จุด เพิ่มขึ้น 17.81 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.37% มูลค่าการซื้อขาย 30,452.15 ล้านบาท โดยมีการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 4/2556 และหุ้นปันผลอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสารที่มีวอลุ่มหนาแน่น และยังมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2557 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) มองตรงกันว่าจะเติบโตได้ถึง 4%
ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนวันนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 264.99 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 1,654.19 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,424.58 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 494.60 ล้านบาท
นายชัย จิระเสวีนุประพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุน บล.โนมูระพัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงในช่วงบ่าย หลังจากศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องเรื่องการเลือกตั้งเมื่อ 2 ก.พ. เป็นโมฆะ ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้น 3 กลุ่มหลัก คือ ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร และพลังงาน
ทั้งนี้ เพราะผลการตัดสินดังกล่าวทำให้มองว่าน่าจะมีทางออกร่วมกันมากขึ้น นอกจากนี้ มีแรงเก็งกำไรในเรื่องผลประกอบการหลังจากที่ทยอยประกาศออกมาแล้วผลดำเนินงานยังดี สำหรับกรอบการลงทุนพรุ่งนี้มองแนวรับ 1,320-1,327 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 1,338 จุด ซึ่งกรอบจะไม่กว้างมากนักเพราะจะมีวันหยุดยาว
นายยศพณ แสงนิล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยสามารถยืนอยู่เหนือ 1,300 จุดได้ มองว่ามาจากปัจจัยต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เนื่องจากมีถ้อยแถลงจากนางเจเนต เยเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ที่ประกาศว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดีขึ้น มีเสถียรภาพ ส่งผลให้มีการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) แบบระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยวันที่ 13 ก.พ. ให้กรอบแนวต้านที่ 1,310 จุด แนวต้านถัดไป 1,320 จุด ส่วนแนวรับ 1,290 จุด
ด้านนายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนยังต้องรอดูการตัดสินของศาลแพ่งว่าจะพิจารณาออกมาอย่างไร หากให้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นมาก
นอกจากนี้ ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของทีมที่ปรึกษากฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้เลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.เป็นโมฆะ รวมถึงไม่รับคำร้องของพรรคเพื่อไทย ที่ขอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 10 คน เลิกกระทำขัดขวางการเลือกตั้ง และปิดส่วนราชการ ขณะที่ปัจจัยการเมืองจะต้องติดตามว่า จะมีคนกลางเข้ามาเจรจากับ 2 ฝ่ายหรือไม่ ซึ่งหากมีการเจรจาน่าจะเป็นผลดีต่อสถานการณ์การเมือง
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังได้รับผลดีจากการที่ บจ.หลายแห่ง ทยอยประกาศจ่ายเงินปันผล ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศได้รับผลบวกจากการที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ อนุมัติการขยายเพดานหนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นพรุ่งนี้ (13 ก.พ.) ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองว่าจะเป็นอย่างไร และหากศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลาดมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,897.62 ล้านบาท ปิดที่ 7.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,604.57 ล้านบาท ปิดที่ 170.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,530.69 ล้านบาท ปิดที่ 214.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,167.58 ล้านบาท ปิดที่ 74.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
DTAC มูลค่าการซื้อขาย 1,055.25 ล้านบาท ปิดที่ 99.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท