“เวิลด์แบงก์” คาดการส่งออกดัน ศก.ไทยปีนี้ขยายตัวได้ 4% ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของ ศก.โลกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2% ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ถึง 6% จากปีก่อนที่ติดลบ 0.4% พร้อมยังเกาะติดปัญหาการเกิดสุญญากาศทางการเมือง
นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4 ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.2 ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ร้อยละ 6 จากปีก่อนที่ติดลบร้อยละ 0.4
โดยธนาคารโลกยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยง คือ การชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อจนกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งหากรัฐบาลชุดปัจจุบันยังเป็นรัฐบาลรักษาการอีกนาน และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ก็จะกระทบต่อการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงทุนใหม่ให้สะดุดลง และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็อาจจะปรับตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งปัจจัยการเมืองถือเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก
ดังนั้น ธนาคารโลกก็จะติดตามต่อไปเพื่อปรับข้อมูลประมาณการในระยะต่อไป แต่เชื่อว่าโอกาสที่ไทยจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีต่ำมาก แม้ว่าจะเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองก็ตาม
ด้าน น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ขยายตัวเพียงร้อยละ 3 โดยในไตรมาส 4 เติบโตเพียงร้อยละ 1.3 ขณะที่การส่งออก การบริโภคภาคครัวเรือน การลงทุน และการใช้จ่ายของภาครัฐชะลอลง ซึ่งมีผลมาจากปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง แม้จะไม่ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค แต่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวให้ชะลอตัวลง ทำให้การขยายตัวของการท่องเที่ยวในปีนี้จะโตได้แค่ร้อยละ 10 จากปีก่อนที่โตถึงร้อยละ 20
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องของนโยบายของภาครัฐ ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการภาครัฐ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาในระยะยาวน้อยลง ส่งผลให้การลงทุนรวมของปีนี้น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะเติบโตได้ร้อยละ 5 ซึ่งนักลงทุนต่างชาติยังมองประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนเพราะมีระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานอย่างดี ทำให้การลงทุนต่างชาติยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สะท้อนจากตัวเลขการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอที่ยังอยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกัน การบริโภคยังคงอ่อนแอ ทั้งจากความไม่แน่นอนทางการเมือง การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การบริโภคในประเทศโดยรวมขยายตัวแค่ร้อยละ 2.1 โดยการบริโภคภาคเอกชนโตเพียงแค่ร้อยละ 1.8 ขณะที่การบริโภคภาครัฐขยายตัวได้ร้อยละ 3.5
นอกจากนี้ น.ส.กิริฎา ยังกล่าวอีกว่า แม้ภาคส่งออกจะเป็นตัวผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยขยายตัวร้อยละ 6 หรือมีมูลค่า 208,920 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ประเทศไทยยังคงตามหลังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินของโลก สาเหตุเพราะไทยผลิตสินค้าที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์
ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 มีมูลค่า 229,994 ล้านเรียญสหรัฐ ดุลการค้าเกินดุลประมาณร้อยละ 2.3 ของจีดีพี หรือเกินดุลประมาณ 8,927 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลน้อยลงจากนี้ 2556 โดยขาดดุลเพียง 1,073 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือขาดดุลร้อยละ 0.3 ของจีดีพี