มั่งคงฯ แจงสภาวะตลาดอสังหาฯ ไม่ปกติ เน้นรักษาสภาพคล่อง เพิ่มศักยภาพบุคลากร-ระบบบริหารจัดการงานก่อสร้าง ระบุตลาดชะลอตัวโอกาสดีในการเตรียมตัวลงสนามหลังการเมืองคลี่คลาย พร้อมวางงบ 800-1,000 ล้านบาท ชอปที่ดินรอโอกาสผุดโครงการใหม่ เผยปี 57 เปิดตัว 4-5 โครงการ มูลค่า 3,200-5,000 ล้านบาท คาด มี.ค. ดีเดย์เปิดตัวโครงการแรก พร้อมปรับระบบก่อสร้างดึง TUNNEL FORM ระบบเสาคานสำเร็จรูปลดระยะเวลาก่อสร้าง แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน แจงสต๊อกรอรับรู้รายได้ปี 57 กว่า 900 ล้านบาท ทยอยรู้ในปีนี้ 800 ล้านบาท จากเป้ารับรู้รายได้ทั้งปี 2,800 ล้านบาท ด้านยอดขายทั้งปีคาดไม่ต่ำ 2,800 ล้านบาท
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หลังจากแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกากลับมาขยายตัวอีกครั้ง ซึ่งน่าจัส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย แต่ปัจจัยลบจากความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะด้านการลงทุนจากธุรกิจในประเทศ และต่างประเทศ รวมไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ภาคขนส่ง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน ซึ่งมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค และการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยของสถาบันการเงินด้วย
จากผลกระทบดังกล่าว ส่งผลให้ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาฯ ขณะนี้ผู้ประกอบการได้มีการชะลอการเปิดตัวโครงการ และลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆ ออกไป เพื่อรอดูสถานการณ์ตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น จะมีผลกระทบเพียงระยะสั้นๆ หลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่างๆ จะกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบัน และเตรียมความพร้อมในการขยายการลงทุน เมื่อปัญหาทางการเมืองจบลง ในช่วงต้นปีนี้ มั่นคงฯ จึงเน้นดูแล และเตรียมความพร้อมด้วยการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพบุคลากร และการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการงานก่อสร้าง โดยดึงนำระบบการก่อสร้าง TUNNEL FORM ซึ่งเป็นระบบเสา-คานสำเร็จรูปเข้ามาใช้ในงานก่อสร้างโครงการ เพื่อลดระยะเวลาก่อสร้าง และยังเป็นการแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในตัวด้วย
น.ส.ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมามีโครงการเปิดตัวใหม่ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ประมาณ 120,000 หน่วย แบ่งเป็นทีอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวประมาณ 40,000 หน่วยเศษ ซึ่งเติบโตจากปี 55 ประมาณ 20% และเป็นโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 84,250 หน่วย เติบโตขึ้น 65% ส่วนที่เหลือ 15% เป็นที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ โดยมีตัวเลขที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และจดทะเบียนโดยผู้ประกอบการอสังหาฯ ในกทม. และปริมณฑล แบ่งออกเป็นคอนโดมิเนียม 64,480 หน่วย เพิ่มจากปี 55 ประมาณ 6% และเป็นบ้านเดี่ยวที่ก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 32,180 หน่วย เพิ่มจากปีก่อนหน้าประมาณ 52%
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 56 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมยังคงเป็นที่อยู่อาศัยที่มีการเปิดตัวมากที่สุด โดยมีแชร์ตลาดรวมถึง 65% ขณะที่ดีมานด์มีการชะลอตัวลงตั้งแต่ในช่วงปลายปี ส่งผลให้ทิศทางของการขยายตัวของซัปพลายในตลาดสูงกว่าดีมานด์ที่มีอยู่ ดังนั้น การชะลอการเปิดตัว และลงทุนดครงการใหม่ในปี 57 จึงถือเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาฯ โดยรวม ซึ่งจะทำให้ในปีนี้เป็นปีที่มีการระบายออกของซัปพลายในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาการล้นตลาดของซัปพลายหมดไป
จากปัจจัยข้างต้น มั่นคงฯ ได้มีการประเมินตลาดรวมอสังหาฯ ในปีนี้ว่ายังคงมีทิศทางที่ดีแม้ในช่วงต้นปีตลาดจะชะลอตัวก็ตาม โดยในช่วงที่ตลาดชะลอตัวนี้ถือเป็นช่วงที่ดีที่จะจัดซื้อที่ดินสะสมเข้ามารอพัฒนาโครงการใหม่ โดยในปี 57 นี้ มั่นคงฯ ได้เตรียมงบซื้อที่ดินไว้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ใช้ซื้อที่ดินในย่านเอกชัย ไปแล้ว 1 แปลง มูลค่า 200 ล้านบาท ทำให้เหลืองบซื้อที่ดินเข้ามาในปีนี้อีก 800 ล้านบาท เพื่อที่จะซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่ม
โดยในปี 57 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 4-5โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,200-5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลีอองสุขุมวิท 72 โครงการทาวน์โฮม 58 ยูนิต บนพื้นที่ 6 ไร่ มูลค่า 430 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในเดือน มี.ค.นี้ โครงการชวนชื่นซิตี้ รามอินทรา บ้านเดี่ยวเฟสใหม่ เนื้อที่ 19 ไร่ จำนวน 105 ยูนิต มูลค่า 445 ล้านบาท โครงการโมดัส วิภาดี บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม เฟสใหม่ เนื้องที่ 40 ไร่ จำนวน 246 ยูนิต มูลค่า 1,715 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวโครงการใหม่เอกชัย บนพื้นที่ 31 ไร่ จำนวน 89 ยูนิต มูลค่า 650 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 5 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม พื้นที่ 6 ไร่ มูลค่า 1,700-1,800 ล้านบาท ในโซนตะวันตก ติดแม่น้ำเจ้าพระยา และใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวมาจากปีที่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ และขออนุญาตจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โดยโครงการนี้หากภาวะตลาดในปีนี้เหมาะสมก็จะเปิดขายทันที แต่หากภาวะตลาดยังไม่เอื้อก็อาจจะยืดระยะการปิดตัวออกไป
“ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกยอดขายสินค้ารอรับรู้รายได้ในมือที่ยกจากปี 56 มาประมาณ 900 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายโครงการแนวราบ 900 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ และอีก 100 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม ที่จะรับรู้รายได้ในปี 58 โดยในปี 56 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดรับรู้รายได้ 2,800 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีทั้งยอดขาย และยอดรับรู้รายได้ที่ 2,800 ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา”