“กฤษดามหานคร” เตรียมรับเงิน 165 ล้านบาท จากการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP จำนวน 600 ล้านหุ้น ให้พันธมิตร 5 ราย ราคาจองซื้อ 0.276 บาทต่อหุ้น “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” ระบุนำเงินระดมทุนในครั้งนี้ใช้เป็นทุนสำรองเพื่อดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์เก่า พร้อมเตรียมผุดโครงการใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจผลักดันธุรกิจในอนาคตเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็น AQ ESTATE ในเร็วๆ นี้ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2557 ได้มีมติอนุมัติให้จัดสรร และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ของบริษัทฯ จำนวน 5,000 ล้านหุ้น เพื่อจัดสรรเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด หรือผู้ลงทุนสถาบันตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 28/2551 โดยในครั้งนี้มติคณะกรรมการได้อนุมัติการจัดสรรให้แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 600 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.276 บาท จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายกฤตศิลป์ ฉลองขวัญ จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่า 41,400,000 บาท นายทวีป เรืองหร่าย จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่า 41,400,000 บาท นายศศิศ มนต์เสรีนุสรณ์ จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่า 13,800,000 บาท นางฐิติมา จันต้น จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่า 22,080,000 บาท และ น.ส.กรรณิดา ตั้งกิจตรงเจริญ จำนวน 170 ล้านหุ้น มูลค่า 46,920,000 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 165,600,000 บาท
สำหรับราคาเสนอขายหุ้นดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณาอนุมัติราคาเสนอขายใช้ราคาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ราคาตลาดเฉลี่ยอย่างน้อย 7 วันแต่ไม่เกิน 14 วันทำการติดต่อกันก่อนวันแรกที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนคือ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557(วันเสนอขายคือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557) โดยมีราคาเฉลี่ย 0.3062 บาท และราคาร้อยละ 90 เท่ากับ 0.2756 บาท มีกำหนดระยะเวลาชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 165,600,000 บาท ภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557
“เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นทุนสำรองในการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์เดิม และโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปโดยไม่สะดุด และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทได้ ซึ่งบริษัทมีโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการที่ต้องดำเนินการ เช่น การลงทุนซื้อที่ดินโครงการ Bypass จังหวัดชลบุรี และโครงการภูรีศาลา จังหวัดภูเก็ต ตลอดจนโครงการคริสการ์เดน พระราม 9 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนในการลงทุน และพัฒนาโครงการ ซึ่งการมีแหล่งเงินทุนสำรองที่เพียงพอจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต และสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินให้แก่บริษัทได้” นายยงยุทธกล่าว