“จี แคปปิตอล” เดินหน้าเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ หลังภาวะรอบด้าน โดยเฉพาะเรื่องการเมืองผ่อนคลายขึ้น “สันติ” เผยหารือกับ “ชูพงศ์ ธนเศรษฐกร” เอ็มดี คันทรี่ กรุ๊ป ที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว กำหนดวันเข้าซื้อขาย 17 ธ.ค.2556 ประเมินสถานการณ์ทุกด้านแล้ว ต้องการให้ผู้จองซื้อหุ้น IPO ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด
นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในหลากหลายประเภท ภายใต้แนวคิด “สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า” เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทบทวนสถานการณ์ทุกอย่างรอบด้านด้วยความรอบคอบอย่างที่สุด โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยได้หารือร่วมกันกับ นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว มีข้อสรุปร่วมกันกำหนดวันเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 17 ธ.ค.2556
สำหรับในปี 2556 งวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้ 116.27 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 31.07 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.21 บาท จากปีก่อน (2555) บริษัทฯ มีรายได้ 141 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 32.64 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนแล้ว บริษัทฯ จะมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท
นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในหลากหลายประเภท ภายใต้แนวคิด “สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า” เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทบทวนสถานการณ์ทุกอย่างรอบด้านด้วยความรอบคอบอย่างที่สุด โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยได้หารือร่วมกันกับ นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว มีข้อสรุปร่วมกันกำหนดวันเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 17 ธ.ค.2556
สำหรับในปี 2556 งวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้ 116.27 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 31.07 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.21 บาท จากปีก่อน (2555) บริษัทฯ มีรายได้ 141 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 32.64 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนแล้ว บริษัทฯ จะมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท