โบรกฯ เกาะติดเม็ดเงินต่างชาติสะสมในตลาดหุ้นไทย 4 ปี จำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท ถูกเทขายไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 56 จำนวน 1.72 แสนล้าน เผยเดือน พ.ย. มีการทิ้งหนักถึง 4.8 หมื่นล้าน และในช่วง 4 วันทำการแรกเดือน ธ.ค. เทขายไปเกือบ 2 หมื่นล้าน
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนสุดท้ายของปี 2556 โดยมองว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาหนักมากในขณะนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวลง โดยภายในเดือน พ.ย. นักลงทุนเทขายสุทธิสูงถึง 48,074.94 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
ทั้งนี้ พบว่าเพียงแค่ 4 วันทำการแรกของเดือน ธ.ค.นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหนักไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าช่วงกลางเดือนนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวได้ ประกอบกับถ้าพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล และผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยต่อไปได้
ส่วนการไหลกลับของนักลงทุนต่างชาตินั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของสหรัฐฯ เป็นหลัก หากการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และสหรัฐฯ ยังไม่ได้ชะลอคิวอี เงินลงทุนต่างชาติน่าจะทยอยกลับมาในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไปแล้วประมาณ 70% ของเงินซื้อสะสม โดยยอดซื้อสะสมย้อนหลัง 4 ปี อยู่ที่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 1.72 แสนล้านบาท หากการเมืองยังรุนแรงและยืดเยื้อ เชื่อว่าจะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาอีกประมาณ 10% ของเงินซื้อสะสมที่เหลืออยู่ ส่วนนักลงทุนที่เหลืออีกประมาณ 20-30% นั้น เชื่อว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาว
สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอนาคต เชื่อว่าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไม่ได้ลงทุนแบบซื้อยกกลุ่มแล้ว แต่จะเลือกลงทุนหุ้นรายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มดี แต่ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก นักลงทุนต้องใจกล้าที่จะมาลงทุน แต่อย่างที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ คือ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มปรับพอร์ตการลงทุนชัดเจน และเริ่มหันไปลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือ รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปฟื้นตัว
นายปริญญ์ ย้ำว่าปัญหาการเมืองอยู่กับบ้านเรามานาน ตั้งแต่ปี 2551 จนนักลงทุนต่างชาติเริ่มชิน และที่ผ่านมา ตลาดหุ้นขึ้นต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ประกอบกับคิวอีเริ่มลดขนาดลง เงินทุนเริ่มไหลออกกลับไปซื้อหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ที่พร้อมจะมีอัตราเติบโตเท่ากับตลาดหุ้นไทย รวมทั้งตลาดหุ้นอื่นในจีน เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง