สบน.เผย ต.ค.56 กระทรวงการคลัง ปรับโครงสร้างหนี้ภาครัฐกว่า 139,000 ล้านบาท และได้ชำระหนี้เป็นเงิน 122,210 ล้านบาท
น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยผลการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐเดือนตุลาคม 2556 โดยระบุว่า กระทรวงการคลัง เบิกจ่ายเงินกู้ 500 ล้านบาท จากสัญญาเงินกู้วงเงิน 15,393 ล้านบาท ที่ลงนามในสัญญาเงินกู้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ภายใต้ พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศฯ ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ 1,937.16 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และ 792.52 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กู้ต่อ 64.44 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ 139,006 ล้านบาท แบ่งเป็นการออกตั๋วเงินคลังเพื่อบริหารดุลเงินสดภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 จำนวน 114,006 ล้านบาท กระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล และเงินกู้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก.ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF 1) ที่ครบกำหนดจำนวน 25,000 ล้านบาท โดยการกู้เงินระยะสั้น 15,000 ล้านบาท และเงินทดรองจ่ายที่ยืมจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (Premium FIDF 1 และ FIDF 3) 10,000 ล้านบาท โดยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3,670 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้คืนเงินทดรองจ่ายที่ยืมจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (Premium FIDF 1 และ FIDF 3) ในเดือนก่อนหน้า
นอกจากนี้ เดือนตุลาคม 2556 กระทรวงการคลัง ได้ชำระหนี้เป็นเงิน 122,210.61 ล้านบาท แบ่งเป็นการชำระหนี้ของรัฐบาลจากงบประมาณชำระหนี้ 2,467.17 ล้านบาท เป็นการชำระหนี้ในประเทศ 1,987.30 ล้านบาท โดยเป็นการชำระดอกเบี้ย 1,987.15 ล้านบาท และค่าธรรมเนียม 0.15 ล้านบาท ชำระหนี้ต่างประเทศ 479.87 ล้านบาท โดยเป็นการชำระต้นเงิน 327.78 ล้านบาท ดอกเบี้ย 148.32 ล้านบาท และค่าธรรมเนียม 3.77 ล้านบาท
ส่วนการชำระหนี้ของรัฐบาลจากแหล่งอื่น 119,743.44 ล้านบาท เป็นการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังโดยใช้เงินจากบัญชีเงินคงคลัง จำนวน 116,141 ล้านบาท การชำระต้นเงินกู้ภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 จำนวน 516.67 ล้านบาท โดยใช้เงินที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลัง ได้ปรับโครงสร้างหนี้แทนหน่วยงาน ซึ่งหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน และรัฐบาลรับภาระ และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF 1) จำนวน 2,032.89 ล้านบาท และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูระยะที่สองฯ (FIDF 3) จำนวน 1,052.88 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 2