อิชิตัน เชื่อการเมืองร้อนไม่กระทบแผนระดมทุน คาด 22 พ.ย.เคาะราคา 11/12/13 เข้าเทรด รับเงินขายหุ้น 4-5 พันล้าน แบ่งลงทุนขยายกำลังผลิต รวมทั้งใช้หนี้แบงก์ และภรรยา หวังลดสัดส่วนจ้างผลิตให้เหลือเพียง 10%
นายตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการและประธาน อิชิตัน กล่าวว่า บริษัทยังคงกำหนดการเดิมสำหรับเข้าซื้อขายหุ้นไอพีโอ 300 ล้านหุ้น โดยคาดว่าจะสรุปราคาหุ้นได้ในวันที่ 22 พ.ย. และเข้าเทรดวันที่ 11/12/13 ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อแผนระดมทุนของบริษัท แต่จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับเม็ดเงินจากการขายหุ้นประมาณ 4-5 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในโครงการเฟส 2 ของบริษัท เพื่อเพิ่มยอดผลิตชาขวดเป็น 1 พันล้านขวดต่อปี จากปัจจุบันผลิตได้600 ล้านขวดต่อปี และผลิตชาพร้อมดื่มชนิดกล่องได้ 200 ล้านกล่องต่อปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความสามารถทำยอดขายได้ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี และจะช่วยลดสัดส่วนในการจ้างผลิตจากปัจจุบัน 24% ของการผลิตทั้งหมดเหลือ 10% ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง รวมทั้งกำไรขั้นต้นของบริษัทดีขึ้น
โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอบางส่วนจะนำไปใช้ชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมจากนางอิง ภาสกรนที (ภรรยา) ประมาณ 1 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อมาลงทุนในธุรกิจนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1.4 เท่า
“เรายังไม่เร่งชำระหนี้ให้หมด เพราะยังมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก แต่จะชำระคืนหนี้บางส่วน เช่น ที่กู้ยืมจากภรรยามาลงทุนในช่วงแรก และจากสถาบันการเงิน เพราะเรามีแผนจะซื้อเครื่องจักรเพิ่มไลน์การผลิตในเฟส 2 ช่วงแรก 2 ไลน์ วงเงิน 2.5 พันล้านบาท คาดทยอยเสร็จในไตรมา 1 และไตรมาส 2 ปีหน้า”
นายตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการและประธาน อิชิตัน กล่าวว่า บริษัทยังคงกำหนดการเดิมสำหรับเข้าซื้อขายหุ้นไอพีโอ 300 ล้านหุ้น โดยคาดว่าจะสรุปราคาหุ้นได้ในวันที่ 22 พ.ย. และเข้าเทรดวันที่ 11/12/13 ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อแผนระดมทุนของบริษัท แต่จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับเม็ดเงินจากการขายหุ้นประมาณ 4-5 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในโครงการเฟส 2 ของบริษัท เพื่อเพิ่มยอดผลิตชาขวดเป็น 1 พันล้านขวดต่อปี จากปัจจุบันผลิตได้600 ล้านขวดต่อปี และผลิตชาพร้อมดื่มชนิดกล่องได้ 200 ล้านกล่องต่อปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความสามารถทำยอดขายได้ในระดับ 1 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี และจะช่วยลดสัดส่วนในการจ้างผลิตจากปัจจุบัน 24% ของการผลิตทั้งหมดเหลือ 10% ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง รวมทั้งกำไรขั้นต้นของบริษัทดีขึ้น
โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอบางส่วนจะนำไปใช้ชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมจากนางอิง ภาสกรนที (ภรรยา) ประมาณ 1 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อมาลงทุนในธุรกิจนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1.4 เท่า
“เรายังไม่เร่งชำระหนี้ให้หมด เพราะยังมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก แต่จะชำระคืนหนี้บางส่วน เช่น ที่กู้ยืมจากภรรยามาลงทุนในช่วงแรก และจากสถาบันการเงิน เพราะเรามีแผนจะซื้อเครื่องจักรเพิ่มไลน์การผลิตในเฟส 2 ช่วงแรก 2 ไลน์ วงเงิน 2.5 พันล้านบาท คาดทยอยเสร็จในไตรมา 1 และไตรมาส 2 ปีหน้า”