xs
xsm
sm
md
lg

ริชี่เพลซฯ เพิ่มทุน 500 ล. จ่อเข้าตลาดหุ้น ลุยผุดโครงการหวังสร้างรายได้ให้สม่ำเสมอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ริชี่เพลซฯ เผยเตรียมเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ล่าสุด สั่งเพิ่มทุนจาก 370 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าผุดโครงการใหม่ต่อเนื่อง หวังสร้างความสม่ำเสมอของรายได้ ล่าสุด เตรียมเปิดขาย 2 โครงการใหม่ คอนโดมิเนียม “ริชพาร์ค@เจ้าพระยา” มูลค่า 1,500 ล้านบาท และบ้านแฝดเลียบถนนราชพฤกษ์ มูลค่า 600-700 ล้านบาท เผยแผนปี 57 ทุ่มงบ 2,500 ล้านบาท ซื้อที่ดินรองรับการพัฒนา 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 7,500 ล้านบาท เชื่อตลาดอสังหาฯ 4 เดือนสุดท้ายกลับมาขยายตัวตามเศรษฐกิจ ยันยอดปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทไม่ถึง 10% เหตุเป็นผู้ประกอบการขนาดกลาง ลูกค้าเก็งกำไรซื้อเพื่อขายต่อให้ความสนใจน้อย มั่นใจยอดขายทั้งปี 3,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท หลังโครงการที่เปิดขายก่อนหน้าก่อสร้างเสร็จเริ่มทยอยรับรู้

ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัด มหาชน โดยได้ว่าจ้าง บล.คันทรี่กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาด บอร์ดบริหารได้อนุมัติให้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจาก 370 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท ชำระเต็มในวันที่ 16 ก.ย.นี้ คาดว่าหลังจากนี้ขั้นตอนในการดำเนินการเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดจะใช้เวลา 3-4 เดือน และน่าจะยื่นไฟลิ่งได้ในปลายปี 56 หรือต้นปี 57 ได้เรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนนั้นตามข้อกำหนดบริษัทจะต้องมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อนเอง ซึ่งที่ผ่านมา ริชี่เพลซฯ ถือว่ามีการเติบโตของรายได้ต่อเนื่องมาตลอด แต่การเติบโตของรายได้ในแต่ละปีนั้นไม่มีความสม่ำเสมอ เพราะการพัฒนาโครงการอาคารชุดนั้นต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างค่อนข้างนาน ทำให้บางปีมีรายได้เข้ามานั้นโดยเฉพาะในปีที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนน้อย ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความต่อเนื่องของรายได้ ทำให้ต้องมีการปรับแผนในการสร้างรายได้ใหม่

โดยจากนี้ไปบริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นโดยจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อโครงการ พร้อมกันนี้ ก็จะมีการเพิ่มจำนวนโครงการใหม่ให้มากขึ้นทั้งแนวสูง และแนวราบ โดยวางสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวสูงไว้ที่ 75% และแนวราบ 25% โดยโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้นนั้นจะสร้างการรับรู้รายได้ให้บริษัทเร็วขึ้น ขณะที่โครงการแนวสูงก็จะสร้างความต่อเนื่องในทุกๆ ปี ซึ่งในปี 2556 นี้ บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ เป็นโครงการทาวน์โฮมริชบีชโฮม ในซอยสุขุมวิท 105 ย่านศรีนครินทร์ จำนวน 141 ยูนิต ราคาขาย 3.8-4.9 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 14 ไร่ มูลค่า 600-700 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 30% และโครงการคอนโดมิเนียม ริชพาร์ค2@เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ติดสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื้อมูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว 70%

ส่วนในครึ่งหัลงของปี 56 นี้บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการริชพาร์ค@เจ้าพระยา เป็นคอนโดฯ สูง 33 ชั้น จำนวน 633 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงเลียบถนนรัตนาธิเบศร์ ใกล้กับสะพานพระนั่งเกล้า ราคาขายเริ่มต้น 1.6 ล้านบาท โดยจะเปิดให้ลูกค้าจองซื้อในวันที่ 16 ก.ย.นี้ และอีก 1 โครงการ ซึ่งตั้งอยู่เลียบถนนราชพฤกษ์ ใกล้กับโรงเบียร์ฮอลล์แลนด์ ภายใต้ชื่อโครงการเดอะริชวิลล์ ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการบ้านแฝด จำนวน 135 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.6-3.7ล้านบาท มูลค่า 600-700 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในเดือน พ.ย.นี้

ดร.อาภา กล่าวว่า การเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้จะส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเติบโตของรายได้ที่ต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการทุกปี แต่รายได้ของบริษัทมีการสวิงตัวขึ้นๆ ลงๆ สูงเพราะในบางปีที่มีการพัฒนาโครงการน้อยจะส่งผลต่อรายได้ในปีถัดไปให้น้อยไปด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหารายได้สวิงตัว บริษัทจึงปรับแผนการลงทุนโดยหันมาเน้นการเพิ่มทั้งในในด้านจำนวน และขนาดของโครงการ

โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากการขายโครงการไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยเป็นการรับรู้รายได้จากกลุ่มโครงการแนวสูงกว่า 95% เนื่องจากในปีนี้มีโครงการขนาดใหญ่ก่อสร้างเสร็จ และส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีรายได้จากการโอนเข้ามาแล้ว 1,000 ล้านบาทเศษ ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในช่วงปลายปี คาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าเป้าประมาณการที่วางไว้

สำหรับในปี 2557 บริษัทมีแผนจะใช้ที่ดินใหม่เพิ่มอีก 5 แปลง โดยจะใช้งบในการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการแนวสูงรวม 2,500 ล้านบาท โดยคาดว่าโครงการใหม่ทั้ง 5 โครงการจะมีมูลค่ารวมประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงรายได้ในอนาคตของบริษัทว่าจะมีความส่ำเสมอมากยิ่งขึ้น

มั่นใจครึ่งปีหลังอสังหาฯ กลับมาขยายตัว

ดร.อาภา กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลังว่า ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ที่ผ่านมา คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในส่วนของภาคการส่งออกที่ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ 4.5-5% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เกิดการชะงักตัวในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ย.นี้ การปรับตัวของภาคส่งออกของประเทศที่ดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะกลับมาขยายตัวได้ ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และยุโรจะทำให้การส่งออกสดใสขึ้น ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจในปลายปีกลับมาขยายตัวได้ ซึ่งแน่นนอนว่าเมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้กลับมาตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นในปลายปีนี้

ส่วนปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นขณะนี้นั้น จากการพูดคุยกับสถาบันการเงินทราบว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในตลาดรวมปรับตัวจาก 12% ในช่วงไตรมาสแรกเป็น 20% ในไตรมาสที่ 3 ของปี เป็นผลมาจากการปรับตัวของสูงขึ้นของหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถยนต์คันแรกกว่า 1 ล้านรายในระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดียวกับตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลาง ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ส่วนยอดการปฏิเสธสินเชื่อของ ริชี่เพลซฯ นั้นถือว่าอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 10% ของยอดขายเนื่องจากโครงการของบริษัทมีกลุ่มลูกค้าเก็งกำไร และซื้อเพื่อขายต่อจำนวนน้อย เนื่องจาก ริชี่เพลซฯ เป็นบริษัทขนาดกลาง กลุ่มนักเก็งกำไรไม่ให้ความสำคัญมากนัก”
กำลังโหลดความคิดเห็น