xs
xsm
sm
md
lg

CSS เตรียมเข้าเทรดในตลาด mai 3 ก.ย.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CSS
บมจ.คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น หรือ CSS เตรียมระดมทุน 600 ล้านบาท ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ก.ย. นี้  เพื่อรองรับแผนการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และบริการ

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า บมจ.คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น หริอ CSS จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจพาณิชย์ ในวันที่ 3 กันยายนนี้ โดย CSS ดำเนินธุรกิจหลักเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าประเภทสายไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบงานไฟฟ้า และเป็นผู้ให้บริการออกแบบติดตั้ง รวมถึงบำรุงรักษาระบบโทรคมนาคม และระบบป้องกันไฟลาม

โดย CSS มีทุนชำระแล้ว 350 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO 190 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย 10 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 26-28 สิงหาคม 2556 ในราคาหุ้นละ 3 บาท โดยมีบริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ด้านนายสมพงษ์ กังสวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CSS กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้เข้าระดมทุน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ในการก่อสร้างคลังสินค้า และอาคารสำนักงานแห่งใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของ CSS มีโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ทั้งนี้ CSS มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวกังสวิวัฒน์ ถือหุ้น 33.02% กลุ่มครอบครัวเมฆมณี ถือหุ้น 8.81% และกลุ่มครอบครัวอิทธิแสง ถือหุ้น 6.21% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 13.38 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2555-30 มิถุนายน 2556)  ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะบริษัท และหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น