“สหการประมูล” พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 9 สิงหาคมนี้ หลังระดมทุน 220 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) (AUCT) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 9 สิงหาคม 2556 โดย AUCT ดำเนินธุรกิจให้บริการเป็นคนกลางจัดการซื้อขายสินทรัพย์ด้วยวิธีการประมูลแบบเปิด (Open Auction) โดยสินทรัพย์ที่นำมาจัดประมูลส่วนใหญ่ คือ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ และสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า เช่น บ้านและที่ดิน หุ้น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าแบรนด์เนม
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าบริการเป็นคนกลางการประมูลสินทรัพย์เป็นหลัก บริษัทมีสถานที่จัดประมูลประจำในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และสถานที่จัดประมูลสัญจรในพื้นที่ต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 14 แห่ง และมีการนำระบบ E-Auction เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าประมูล สามารถดูการประมูลได้แบบ Real-time และส่งคำสั่งประมูลสินทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที
สำหรับ AUCT มีทุนชำระแล้ว 137.50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 440 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 110 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 31 ก.ค. และ 1-2 ส.ค.2556 ในราคาหุ้นละ 2 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 220 ล้านบาท โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่ AUCT เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่บริษัท และช่วยยกระดับการดำเนินงานจากเดิมที่เป็นครอบครัว สู่การเป็นบริษัทมหาชน อีกทั้งยังเป็นการรองรับการแข่งขันในตลาดประมูลรถที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
โดย AUCT มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวศิลา ถือหุ้น 55.20% กลุ่มเสรีวิวัฒนา ถือหุ้น 5.64% และ นายสุรทิน วิลาศชัยยันต์ ถือหุ้น 4.05% ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 37.94 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 เม.ย.2555 ถึง 31 มี.ค.2556) ซึ่งเท่ากับ 28.99 ล้านบาท และหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 550 ล้านหุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่างๆ ทั้งหมด