“เอเซีย พลัส” มองกำไร บจ. ปี 57 แนวโน้มเติบโตสูงถึง 10% แตะระดับ 1 ล้านล้านบาท หากน้ำมันดิบไม่ดิ่งลงแรง และตัวเลขเอ็นพีแอลแบงก์ไม่พุ่ง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ทั้งปียังมีโอกาสที่จะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คือ 8-9 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า ส่วนปีหน้ามองว่ากำไร บจ.จะเติบโตประมาณ 10% หรือเฉียด 1 ล้านล้านบาท หากไม่มีปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงรุนแรง รวมทั้งเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จำนวนมาก ซึ่งแนวโน้มคงเกิดได้ยาก เพราะทุกส่วนที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 2 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงไตรมาสแรกที่มีกำไร 2.4 แสนล้านบาท แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเข้ามา โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับลดลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น กระทบกับกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุดในตลาดหุ้นไทย ซึ่งต้องบันทึกการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน
ส่วนกำไรจากกลุ่มอื่นๆ ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ประกาศกำไรไตรมาส 2 ออกมากว่า 5.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่จะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรืออินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์ ซึ่งคาดว่าจะบันทึกกำไรไตรมาสนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท สามารถชดเชยกำไรที่ลดลงของกลุ่มพลังงานได้
“ภาพรวมกำไรไตรมาส 2 ดูแล้วไม่ได้แย่ แม้ว่าจะชะลอตัวจากไตรมาสแรก แต่แนวโน้มไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะเติบโตดี โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากช่วงไตรมาส 2 ที่ปิดอยู่ที่ 90 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าที่ประเมินไว้ที่ 7%”
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย ปีนี้ยังมองดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,570 จุด บนพื้นฐานราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ที่ 15 เท่า และปีหน้าดัชนีอยู่ที่ 1,725 จุด บนพื้นฐานพีอี 15 เท่า และการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางดัชนีจะผันผวนต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งแรกของไตรมาส 3
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ต้องติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า จะปรับลดลงจากไตรมาสแรก แต่ต้องมาดูว่าจะปรับลดลงกว่าที่คาดการณ์หรือไม่ จากปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากกำไรลดลงมากกว่าที่คาดจะส่งผลให้ต้องปรับลดคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ลง จากเดิมมองว่าดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,550-1,600 จุด
สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง คงไม่ดีเหมือนช่วงครึ่งปีแรกตามภาวะตลาด แต่ภาพรวมยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่อยู่ที่ระดับ 5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน