หุ้นไทยบวก 10 จุด แรงซื้อขายเบาบาง รอความชัดเจนผลประชุมเฟดต่อมาตรการ QE คืนนี้ โบรกฯ แนะนักลงทุนรอดูความชัดเจน และยอมรับสภาพคล่องในระบบที่อนาคตเตรียมปรับตัวลดลง ระบุหากต้องการลงทุนควรเลือกหุ้นปันผล หรือเข้าซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ต่างชาติเทขาย เหตุราคาลงไปมาก แต่ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงช่วยการันตี
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (19 มิ.ย.) ปิดที่ระดับ 1,437.70 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด หรือ 0.72% มูลค่าการซื้อขาย 48,925.44 ล้านบาท ภาพรวมการซื้อขายวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก ท่ามกลางความผันผวนจนปรับตัวขึ้นลงร่วม 30 จุด
นักวิเคราะห์ประเมินว่า แรงซื้อขายวันนี้เบาบางลงไปมาก เนื่องจากนักลงทุนต่างเฝ้ารอรับทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะออกมาในช่วง 01.30 น.ของวันที่ 20 มิ.ย. โดยรวมวันก่อนหน้าหุ้นไทยปรับตัวลงแรงกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้วันนี้มีแรงซื้อกลับเข้าในหุ้นหลักเพื่อรีบาวนด์
ทั้งนี้ ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงที่ระดับ 1,449.12 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,415.00 จุด ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ADVANC ปิด 264.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.00 บาท หรือ 4.76% INTUCH ปิดที่ 81.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 2.53% CPALL ปิดที่ 37.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 2.60% KBANK ปิดที่ 190.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.33% และ JAS ปิดที่ 7.65 บาท - 0.40 บาท หรือ 4.97%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า วันนี้นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียชะลอการซื้อขาย เพราะต่างต้องการทราบความชัดเจนในมาตรการ QE ของเฟด ความจริงที่ต้องยอมรัยตอนนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นแต่ไม่แข็งแรง และนักลงทุนต้องยอมรับว่าตลาดกำลังผ่านพ้นจุดเม็ดเงินไหลเข้าระบบเพราะมาตรการ QE ไปแล้ว
ดังนั้น ในระยะต่อไปอีก 12 เดือนข้างหน้า สภาพคล่องของตลาดย่อมปรับตัวลดลง ซึ่งจะมีผลต่อ Fund Flow ที่จะไหลออกจากเอเชียด้วย ทั้งนี้ประเมินว่า ผลการประชุมของเฟดหากมีการชะลอ QE น่าจะสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นน้อยลงจากที่ผ่านมา แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะชะลอ QE รุนแรงเช่นไร
“ภาพรวมระยะสั้นยังผันผวน ผลตอบแทนระยะสั้นก็ยังติดลบ ต่อจากนี้ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับเรื่อง Fund Flow ไหลออก เรื่องอัตราดอกเบี้ย เรื่องค่าเงินบาทเข้ามากดดัน จากเม็ดเงินที่ไหลออก ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง แต่เดิมคนกังวลบาทแข็งค่า ตอนนี้อาจต้องเปลี่ยน ทั้งนี้ แนะนำชะลอการลงทุนเพื่อดูความชัดเจนดีกว่า หากจะลงทุนก็แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีความชัดเจนด้านรายได้ผลประกอบการ โดยเฉพาะการจ่ายปันผล รวมถึงการเข้าลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่แต่เดิมให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาถือหน่วยลงทุนจำนวนมาก แต่ตอนนี้มีนักลงทุนต่างชาติขายออกไปเยอะ ราคาต่อหน่วยปรับตัวลงมาต่ำอยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่การเข้าไปลงทุน เพราะเหมือนการเปิดขาย IPO รอบ 2”