“แสนสิริ” รุกหนักคอนโดฯ ต่างจังหวัด จ่อลงทุนเชียงราย พิษณุโลก โคราชฯ หลังไตรมาสแรกยอดขายกระฉูดกว่าหมื่นล้าน ล่าสุด เปิดบริการ “โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน” ตอบสนองชีวิตยุคดิจิตอล
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 1/56 ว่า มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยกระจายตัวออกไปตามหัวเมืองขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด ขณะที่ตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีบางทำเลที่มีสินค้าจำนวนมาก แต่ไม่ถึงขั้นโอเวอร์ซัปพลาย เพียงการขายชะลอตัวลงและต้องใช้เวลาขายนานขึ้น แต่ในบางทำเลมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวมจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก แต่หากพิจารณายอดของคอนโดฯ สร้างเสร็จในปี 55 พบว่า มีประมาณ 3 แสนยูนิต ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 3.5 แสนยูนิต ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มาก อีกทั้งสถาบันการเงินในปัจจุบันยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก จึงเชื่อว่าจะไม่มีโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่ และหากพิจารณาจากยอดขายคอนโดฯ ของแสนสิริในไตรมาสแรก พบว่ามีจำนวน 21,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายคอนโดฯ ประมาณ 10,000 ล้านบาท เท่านั้น ในจำนวนยอดขายข้างต้นเป็นยอดขายในต่างจังหวัดถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาอยู่อาศัยในคอนโดฯ มากขึ้น และการเติบโตที่เกิดขึ้นได้กระจายตัวออกไปยังตลาดต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ และเชื่อว่าจะยังสามารถขยายตัวได้อีกอย่างมาก
สำหรับแผนการลงทุนในตลาดคอนโดฯ ของแสนสิริยังคงให้ความสำคัญทั้งตลาดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะในต่างจังหวัดจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้จะลงทุนคอนโดฯ ในจังหวัดใหม่ๆ เช่น เชียงราย, พิษณุโลก, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ชลบุรี, เขาใหญ่ ล่าสุด ได้เปิดขายคอนโดฯ ที่ระยอง และอุดรธานี โดยจะใช้แบรนด์ ดี คอนโด และเดอะ เบส เป็นสินค้านำ เนื่องจากมองว่าสินค้าในกลุ่มแนวสูงบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง อีกทั้งใช้ระยะเวลาในการเปิดตัวเพียง 3-4 เดือน แตกต่างจากสินค้าแนวราบที่ต้องใช้เวลาในการเปิดตัวนานถึง 10 เดือน แต่ทั้งนี้หากคอนโดฯ ได้รับการตอบรับดี บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะนำสินค้าแนวราบเข้าบุกตลาดทันทีเช่นกัน
นายอุทัย กล่าวต่อว่า จากการพัฒนาคอนโดฯ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้คำนึงถึงการบริการหลังการขาย สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด และอำนวยความสะดวก ตอบสนองความต้องการของลูกบ้านให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอลผ่านระบบออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้ แสนสิริได้นำเสนอบริการ “Excellent Service” ให้แก่โครงการ ควอทโทร บาย แสนสิริ (ทองหล่อ ซอย 4)
ล่าสุด แสนสิริร่วมกับบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาระบบ “โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน” ซึ่งลูกบ้าน และนิติบุคคลสามารถใช้งานบริการต่างๆ ทางระบบออนไลน์ ผ่านระบบปฏิบัติการ 4 ช่องทาง ได้แก่ iOS, Android, Website และ จอ Touch Screen ที่มีประจำอยู่ในทุกโครงการ สั่งงานได้ถึง 3 ภาษา ได้แก่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดแก่ลูกบ้าน โดยไม่ต้องตรวจสอบกล่องจดหมาย ป้ายประกาศ หรือเช็กอีเมลอีกต่อไป ทั้งยังสามารถล็อกอินเข้าสู่ระบบโครงการที่ท่านเป็นเจ้าของได้มากกว่าหนึ่งโครงการผ่านระบบเพียงระบบเดียวอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าที่ซื้อห้องชุดของแสนสิริเกินกว่า 1 ยูนิต หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่าซึ่งจะสามารถเช็กการจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และการใช้บริการอื่นๆ ได้
ในเบื้องต้นได้ลงทุนโครงการนำร่อง 11 โครงการ ประกอบด้วย คีนน์ บายแสนสิริ, ซีล บาย แสนสิริ, วายน์ บาย แสนสิริ, ไพน์ บาย แสนสิริ, ทีล สาทร -ตากสิน, เวีย โบทานิ, เวีย 31, เวีย 49, เดอะเบส สุขุมวิท 77, โครงการบ้านแสนคราม และเชโลน่าเขาเต่า ทั้งนี้ตั้งเป้าเพิ่มระบบ “โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน” ในทุกโครงการใหม่ของบริษัทฯ ทั้งหมด เฉพาะปี 56 ตั้งเป้าเพิ่มระบบทั้งสิ้น 15 โครงการ
ส่วนโครงการเก่าที่บริษัทฯ ได้ส่งมอบให้แก่ลูกบ้านจัดตั้งนิติบุคคลไปแล้วนั้น เตรียมเข้าดำเนินการพูดคุยกับนิติบุคคลของโครงการ เนื่องจากต้องมีค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ดูแลระบบประมาณ 10,000 บาท/เดือน/โครงการ ซึ่งหากมีความต้องการใช้ก็ยินดีเข้าไปพัฒนาระบบให้ทันที แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นโครงการของแสนสิริพัฒนา และพลัสเป็นผู้ดูแลส่วนกลาง เนื่องจากจะต้องเชื่อมโยงในด้านการบริการจากส่วนกลางทั้งของแสนสิริ และพลัส ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 60-80 โครงการ