บล.คันทรี่กรุ๊ป โชว์กำไรไตรมาส 1 พุ่ง 284% กำไรสะสมแตะ 868 ล้านบาท จากดัชนี-ราคาหุ้นพุ่งดันรายได้ค่านายหน้าซื้อขายโตกระโดด เตรียมเข็น 3 หุ้นไอพีโอเข้า mai ในครึ่งปีหลัง “ประสิทธิ์” เชื่อปีทองกลุ่มหลักทรัพย์ คาดหุ้นไทยมีลุ้นทะลุ 1,650 จุด
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 ว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร จากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 56 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้ในส่วนนายหน้าซื้อขายหุ้นเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากโบรกเกอร์จะมีรายได้ทั้ง 2 ขา หรือทั้งซื้อ และขาย ทำให้โดยรวมกำไรสุทธิในปีนี้จะมากขึ้นกว่าปี 2555 แน่
“แนวโน้มผลประกอบการในปี 2556 เชื่อว่าปีนี้ยังคงเป็นปีทองของธุรกิจหลักทรัพย์ และมีการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง เรายังวางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในอันดับ Top 3 โดยยังคงให้ความสำคัญกับงานด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์ และพัฒนางานด้านระบบไอทีควบคู่ไปกับเสนอข้อมูลที่ครอบคลุม” นายประสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้ จากการปรับตัวขึ้นของดัชนีหลักทรัพย์ และราคาหุ้นในไตรมาส 1 ได้ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากพอร์ตการลงทุนในถึง 80% จากเป้าหมายที่คาดไว้ทั้งปี แต่ยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ 125 ล้านบาท
ปัจจุบัน ในไตรมาส 1/56 CGS มีส่วนแบ่งการตลาด 6.25% คิดเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรม และหากกำไรไตรมาส 2 ออกมาดี ก็เป็นไปได้ที่บริษัทอาจจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องมา 3 ปี ปี ล่าสุด จ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 9 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ และเงินสดอัตรา 0.012 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 3 ราย จาก 6 รายในมือในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ส่วนการขออนุมัติออกหุ้นกู้วงเงิน 1,000 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้น ผู้บริหารยืนยันว่า เป็นการขอไว้เพื่อรองรับการการลงทุนเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต แต่ปัจจุบัน ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินกู้จำนวนนี้ เนื่องจากยังมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ
นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ CGS ตั้งเป้าดัชนี SET ระะยสั้น-กลางไว้ที่ 1,650 จุด และหากสามารถทะลุ 1,650 จุดไปได้ มองว่าจะยังสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ โดยปัจจัยสำคัญ คือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อขายเพื่อทำกำไรมากขึ้น
ส่วนกฎเกณฑ์ใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขยายเวลา Cash Balance เป็น 60 วัน จากเดิม 30 วัน และเพิ่มวงเงินประกันในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์จาก 15% เป็น 20% นั้น มองว่าป็นเรื่องที่ดี ทำให้ บล.สามารถลดความเสี่ยงได้ และจะส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับไตรมาส 1/55 พบว่า CGS มีกำไรสุทธิ 263.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 194.73 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 284 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 68.59 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทฯ มีกำไรสะสมจำนวน 868.34 ล้านบาท สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเห็นได้ชัด