หุ้นไทยปิดบวก 22.20 จุด อยู่ที่ระดับ 1,601.15 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 48,199.17 ล้านบาท ปัจจัยบวกจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐอเมริกา เดือนเมษายนที่สูงกว่าคาดไว้
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,601.15 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.20 จุด หรือ 1.41% มูลค่าการซื้อขาย 48,199.17 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,601.18 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,572.74 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 386 หลักทรัพย์ ลดลง 298 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 105 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 2,118.96 ล้านบาท ในขณะที่บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 19.22 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 1,194.29 ล้านบาท และ สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 905.45 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
CPALL ปิดที่ 42.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.20% มูลค่าการซื้อขาย 3,685,225 ล้านบาท
INTUCH ปิดที่ 84.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 2,429,076 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 270.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท หรือ 1.50% มูลค่าการซื้อขาย 1,894,848 ล้านบาท
BBL ปิดที่ 228.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 หรือ 2.70% มูลค่าการซื้อขาย 1,820,508 ล้านบาท
MAKRO ปิดที่ 754.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,462,406 ล้าน
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียยังไม่ทะลุแนวต้านระยะกลางขึ้นมา โดยหาก SET สามารถทะลุ 1,602 จุดได้ ก็อาจขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,638 จุด หรือสูงกว่านั้นได้
ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐอเมริกา เดือนเมษายนที่สูงกว่าคาดไว้ ซึ่งส่งผลให้อัตราว่างงานปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 7.5% จากเดิมที่ 7.6% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ซื้อในเชิงตั้งรับ คือ เมื่อหุ้นลงจึงค่อยซื้อ เพราะจากการศึกษาพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เดือนพฤษภาคม จะเป็นเดือนที่นักลงทุนต่างชาติมักเทขายหุ้นไทยออกมา เนื่องจากค่าเงินบาทมักอ่อนค่าจากปัจจัยต่างๆ เช่น อยู่ในช่วงฤดูการจ่ายเงินปันผล ทำให้ต่างชาตินำเงินออก ส่งออกไม่ดี ทำให้ดุลการค้าต่ำ และปีนี้ยังเพิ่มความกังวลเรื่องลดดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ แต่คาดว่าการปรับฐานจะยังคงไม่มากเท่าไรนัก คาดว่าจะไม่หลุดที่ 1,540 จุด
