“โฮมโปร” โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 56 โกยกำไรเพิ่ม 12.89% กำไรสุทธิอยู่ที่ 691.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.96 ล้านบาท หลังกวาดยอดขายเฉียด 9,500 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาที่เปิดใหม่ พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ใหม่สาขาเดิมอีก 2-3 แห่ง
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยประจำไตรมาสที่ 1/2556 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 691.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.96 ล้านบาท หรือ 12.89% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักได้แก่ รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2555 จำนวน 983.56 ล้านบาท หรือ 11.69% โดยเป็นผลเนื่องจากการเปิดสาขาใหม่
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 2,444.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 354.43 ล้านบาท หรือ 16.96% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเท่ากับ 26.01% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.84% เป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่ขาย โดยมีสัดส่วนของสินค้าที่มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 267.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 23.69 ล้านบาท หรือ 9.73% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้าเช่าในโฮมโปร และรายได้จากพื้นที่เช่าในศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ และยังมีรายได้อื่นๆ จำนวน 361.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 30.58 ล้านบาท หรือ 9.25% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณา และส่งเสริมการขาย รายได้ค่าบริการจากลูกค้า และรายได้อื่นๆ
ในส่วนของค่าใช้จ่าย บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร จำนวน 2,146.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 315.14 ล้านบาท หรือ 17.20% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายทางการตลาด
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2556 บริษัทฯ วางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ใหม่สาขาเดิมอีกประมาณ 2-3 แห่ง โดยในปีนี้ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ทำการเปิดสาขาไปแล้ว 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดชุมพร ด้วยงบลงทุนกว่า 485 ล้านบาท และ 430 ล้านบาท ตามลำดับ
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยประจำไตรมาสที่ 1/2556 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 691.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.96 ล้านบาท หรือ 12.89% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักได้แก่ รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2555 จำนวน 983.56 ล้านบาท หรือ 11.69% โดยเป็นผลเนื่องจากการเปิดสาขาใหม่
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 2,444.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 354.43 ล้านบาท หรือ 16.96% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเท่ากับ 26.01% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.84% เป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่ขาย โดยมีสัดส่วนของสินค้าที่มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 267.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 23.69 ล้านบาท หรือ 9.73% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้าเช่าในโฮมโปร และรายได้จากพื้นที่เช่าในศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ และยังมีรายได้อื่นๆ จำนวน 361.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 30.58 ล้านบาท หรือ 9.25% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณา และส่งเสริมการขาย รายได้ค่าบริการจากลูกค้า และรายได้อื่นๆ
ในส่วนของค่าใช้จ่าย บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร จำนวน 2,146.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 315.14 ล้านบาท หรือ 17.20% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายทางการตลาด
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2556 บริษัทฯ วางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ใหม่สาขาเดิมอีกประมาณ 2-3 แห่ง โดยในปีนี้ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ทำการเปิดสาขาไปแล้ว 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดชุมพร ด้วยงบลงทุนกว่า 485 ล้านบาท และ 430 ล้านบาท ตามลำดับ