บิ๊กเคลีสซิ่งประเมินทิศทางสินเชื่อเช่าซื้อครึ่งปีหลังชะลอ หลังหมดแรงส่งจากโครงการรถคันแรก รับมีความเป็นไปได้รถคันแรกมีทิ้งจอง เหตุไม่พร้อม ด้าน NPL เร่งตัวขึ้นต้องตามติดตาม พร้อมเปิดกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนรถกระบะ ชดเชยแข่งดุตลาดรถเก๋ง
นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้นสินเชื่อรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปีว่า หลังจากที่จะมีการส่งมอบรถจากโครงการรถคันแรกครบในช่วงครึ่งปีแรก ก็คาดว่าจะทำให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ชะลอตัวตามลงไปด้วย โดยจากยอดขายรถยนต์ในปีนี้ที่ประมาณการว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.2 ล้านคันนั้น เป็นส่วนของรถยนต์คันแรกที่ค้างส่งประมาณ 5-6 แสนคัน ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปีก็จะเป็นยอดขายรถจากอุปสงค์ที่แท้จริง
“สินเชื่อเช่าซื้อไตรมาสแรกยังเติบโตได้ตามยอดขายรถ แต่คาดว่าภายในไตรมาส 2 จะมีการส่งมอบรถยนต์ในโครงการได้เกือบทั้งหมด ทำให้ยอดขายส่วนใหญ่ประมาณ 2 ใน 3 ในปีนี้ เกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของปี ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทั้งระบบจะขยายตัวในทิศทางชะลอตัวลงประมาณ 20-25% เทียบกับระดับ 34% ในปีที่แล้ว ขณะที่ NPL ก็เร่งตัวขึ้นจาก 1.15% เป็น 1.41% ทั้งๆ ที่สินเชื่อเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ดังนั้น ในช่วงครึ่้งปีหลังจึงต้องจับตาดูส่วนนี้ด้วย”
สำหรับกรณีที่คาดว่าจะมีผู้ที่จองซื้อรถจากโครงการรถคันแรกแล้วปฏิเสธการรับรถถึง 2 แสนคัน หรือ 20% นั้น นายอิสระกล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเนื่องจากความไม่พร้อม ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากบริษัทผู้ผลิตเร่งผลิตรถยนต์ส่งมอบให้ทันกลางปีนี้ ขณะที่ผู้จองรถยนต์เมื่อได้รถเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจจะเตรียมเงินดาวน์ไม่ทัน เป็นต้น แต่คงยังประเมินตัวเลขที่แน่นอนลงไปไม่ได้ในขณะนี้
นายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ถึง 21,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีที่แล้ว 3,590 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.49% ขณะที่สินเชื่อคงค้างของบริษัท อยู่ที่ 84,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,505 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2555 โดยมี NPL อยู่ที่ 0.79% ต่ำกว่ายอด NPL ไตรมาสแรกปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 0.97% และต่ำกว่า NPL เป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ระดับ 0.81% ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2556 ของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย มีกำไร 123 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 43.70%
สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นใน 4 จุดหลักด้วยกัน คือ การร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ในทุกมิติ, เน้นเพิ่มสัดส่วนรถปิกอัพโดยคาดว่าสิ้นปีสัดส่วนจะอยู่ 50% ของพอร์ตรวมจากปัจจุบันอยู่ที่ 25-27%, พัฒนาระบบ one service ร่วมกับเครือกสิกรไทย และดูแลสินเชื่อในส่วนของรถคันแรกซึ่งบริษัทปล่อยกู้ให้ 3 หมื่นคัน ให้รัดกุมกว่าปกติ เพื่อสามารถแก้ได้ทันท่วงทีหากเกิดปัญหา แต่เท่าที่้ติดตามดูปัจจุบันในส่วนของบริษัทยังไม่มีสัญญาณที่น่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ การที่บริษัทหันมาเพิ่มสัดส่วนรถปิกอัพนั้น เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่กว้าง เป็นรถที่ผู้ประกอบการใช้งาน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็ก (SME) ที่ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้นำตลาด ทำให้สามารถเชื่อมโยง 2 ส่วนนี้เข้าหากันได้ และยังเป็นสินเชื่อที่ให้รายได้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าด้วย
นายอัครนันท์ กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นตลาดรถยนต์แข่งขันกันสูงขึ้นเมื่อยอดขายชะลอลง ซึ่งดอกเบี้ยก็คงจะถูกนำมาเป็นจุดหนึ่งในการแข่งขัน แต่ก็ไม่ใช่เพียงอย่างเดียว คงต้องทั้งในส่วนของโปรโมชันอื่นๆ ทั้่งในส่วนของผู้ผลิต และลีสซิ่ง