ตลท. ชี้ตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่อเนื่องช่วง 1 ปีข้างหน้า และเป็นประเทศที่นักลงทุนเลือกจะถือยาว ระบุให้ผลตอบแทนสูงสุดติด 1 ใน 5 ของโลก “อสังหาฯ-ก่อสร้าง” ราคาพุ่ง 25% สูงกว่าตลาดรวมที่ปรับขึ้น 12%
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่อเนื่องช่วง 1 ปีข้างหน้า และเป็นประเทศที่นักลงทุนเลือกจะถือยาว ตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง เพราะแม้ว่าในปีนี้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะไม่สูงที่สุดในโลก แต่ยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก
ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก คือ มีผลตอบแทน 18.69% รองลงมาคือ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 17.80% ตลาดหุ้นลาว 15.91% อินโดนีเซีย 14.46% และไทยเป็นอันดับที่ 5 มีผลตอบแทน 12.15% ส่วนอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 2.69% และอัตราเงินปันผลของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) อยู่ที่ระดับ 1.39%
ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 1,561.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.15% จากสิ้นปี 2555 และเพิ่มขึ้น 1.26% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือน ก.พ. มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ที่ 13.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.30% จากสิ้นปี 2555 ขณะที่มาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.87% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 41.66% จากสิ้นปี 2555
ส่วนคาดการณ์ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (ฟอร์เวิร์ดพีอี) อยู่ที่ 14.38 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดอื่นในภูมิภาค อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 2.69% ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (วอลุ่ม) อยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เฉพาะเดือน มี.ค. วอลุ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มเปิดซื้อขาย โดยในวันที่ 22 มี.ค.2556 ทำสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุด อยู่ที่ 1.05 แสนล้านบาท
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเกาะติดการซื้อขายหุ้นขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าในช่วงไตรมาสแรกหุ้นที่มีการปรับขึ้นแรงยังคงเป็นหุ้นขนาดเล็ก โดยตลาดรวมปรับขึ้น 12.15% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ 50 อันดับแรก (SET 50) ปรับขึ้น 8.41% แสดงว่าหุ้นนอก SET 50 ต้องปรับขึ้นมากกว่า 8.4%”
หากมองแยกเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ในช่วงไตรมาสแรกมีลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมากกว่าตลาด 4 กลุ่ม โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้างปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 25.18% รองลงมาคือ กลุ่มเทคโนโลยี ปรับขึ้น 19.84% กลุ่มบริการปรับขึ้น 18.27% และกลุ่มการเงินปรับขึ้น 12.67%
ส่วนอีก 4 กลุ่มที่เหลือปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดรวม โดยกลุ่มบริโภคปรับขึ้น 5.72% กลุ่มอุตสาหกรรมปรับขึ้น 4.51% กลุ่มเกษตรและอาหารปรับขึ้น 2.05% ขณะที่กลุ่มทรัพยากรปรับลดลง 1.88%