สะพัดแม็คโครขายกิจการ ซีพีออลล์ โผล่มีชื่อจะซื้อส่งผลราคาหุ้นร่วงทันที เหตุนักวิเคราะห์คาดว่าต้องระดมเงินจำนวนมากกว่าแสนล้านเพื่อฮุบกิจการร้านค้ามิตรแท้โชวห่วยเจ้านี้
วานนี้ (22 เม.ย.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายหุ้นของ บมจ.สยามแม็คโคร ตามที่บริษัทขอระงับการซื้อขายในวันที่ 22-23 เม.ย.นี้ เนื่องจากคาดว่าจะประกาศสารสนเทศสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัท หรือการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ถือหุ้น และนักลงทุนทั่วไป
ทั้งนี้ การขอพักการซื้อขายหุ้นของ MAKRO ครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นมากในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.) ปิดตลาดที่ระดับ 682 บาท จากข่าวที่บริษัทแม่จะขายกิจการในไทยแม้ว่าบริษัทแม่ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้วก็ตาม
สะพัดซีพีออลล์จะซื้อ
อย่างไรก็ดี วานนี้ปรากฏข่าวแพร่สะพัดไปตามห้องค้าหุ้นต่างๆ ระบุว่า กลุ่มนักลงทุนที่จะซื้อกิจการแม็คโครคือ บมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งทำธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น ส่งผลให้ราคาหุ้น CPALL ร่วงทันที 3.24% สวนทางกับทิศทางตลาดรวม ปิดที่ระดับ 43.50 บาท ลดลง 2.75 บาท โดยนักวิเคราะห์มองว่า หากซีพีออลล์จะซื้อต้องใช้เงินจำนวนมาก หากจะซื้อทรัพย์สินของ บมจ.สยามแม็คโคร
“พื้นฐานของ CPALL ไม่ได้เปลี่ยน หุ้นที่ลงวันนี้มีอยู่เรื่องเดียวคือ ข่าวเรื่องที่จะซื้อแม็คโครถ้าเป็นจริงต้องใช้เงินกว่าแสนล้านบาท” นักวิเคราะห์กล่าว
เขากล่าวว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นอยู่กว่า 60% ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าไปซื้อก็ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น ทำให้มูลค่าการซื้อหุ้นสูงมากเป็นระดับแสนล้านบาท ซึ่งหาก CPALL จะเป็นบริษัทที่เข้าไปซื้อหุ้นจริง การกู้เพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอ ต้องมีการระดมทุนด้วยรูปแบบอื่น ซึ่งสิ่งที่ตลาดกังวลคือการเพิ่มทุน
รอยเตอร์ได้รายงานข่าวการสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดผู้บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์คนหนึ่ง ระบุว่า กำลังพิจารณาเรื่องการเข้าเทกโอเวอร์กิจการของ บมจ.สยามแม็คโคร ในไทย ซึ่งมีมูลค่าราว 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 159,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) คือ การดำเนินธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิก แบบชำระเงินสดและบริการตนเอง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” โดยจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2537
สิ้นปี 2555 บริษัทฯ มีสาขาทั่วประเทศไทย 57 สาขา กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแม็คโครส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ได้แก่ กลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อย กลุ่มธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร (โฮเรก้า) กลุ่มสถาบันต่างๆ และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจบริการ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ถือหุ้นในบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท สยามฟูด เซอร์วิส จำกัด (สยามฟูด) และ บริษัทวีนาสยามฟู้ด จำกัด
สำหรับข้อมูลการเงินงวดล่าสุดสิ้นสุดปี 2555 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 32,084.56 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 21,427.98 ล้านบาท รายได้รวม 114,955 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 14.82 บาท
