มติผู้ถือหุ้น บมจ.ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม หรือ TMC เห็นชอบรับเงินปันผลตอบแทนเพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท หลังจ่ายระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 0.09 บาท เตรียมรับทรัพย์ 17 พฤษภาคมนี้ รวมจ่ายทั้งปี 0.21 บาทต่อหุ้น “สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข” ระบุภาพรวมธุรกิจปีนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เหตุอุตสากรรมยานยนต์ยังเป็นขาขึ้น ออเดอร์ผลิตภัณฑ์หลั่งไหลเข้าต่อเนื่อง หนุนงานในมือพุ่งเป็น 419 ล้านบาท เดินหน้าขยายตลาดส่งออกเพิ่มเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 25%
นายสุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMC เปิดเผยถึงผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ว่าได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2555 (1 ก.ค.-31 ธ.ค.55) เพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท เมื่อรวมกับที่จ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาล (1 ม.ค.-30 มิ.ย.55) ไปในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ส่งผลให้บริษัทจ่ายปันผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดปี 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท
ทั้งนี้ ได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 29 เมษายน 2556 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 เมษายน 2556 (XD ในวันที่ 25 เมษายน 2556) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2556
เขากล่าวต่อถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัท รวมถึงผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25% เมื่อเทียบกับงวดดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,002 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งใน และต่างประเทศที่ยังเป็นขาขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่เครื่องจักรของบริษัทมีความทันสมัย สามารถรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่หลากหลาย อีกทั้งบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 419 ล้านบาท
“จากการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ผนวกกับความต้องการรถยนต์ในทุกรุ่นที่เพิ่มขึ้นทั้งใน และต่างประเทศ เห็นได้จากคำสั่งซื้อเครื่องจักรทั้งจากโรงงานในประเทศ และต่างประเทศที่บริษัทผลิต ขณะเดียวกัน ยังมีงานในมือที่จะทยอยรับรู้อีกกว่า 418 ล้านบาทในปีนี้ จึงทำให้ประเมินว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ TMC ในปีนี้จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อนได้”
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น บริษัทจึงมีแผนขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบอินโดจีน เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ
