ซีพี “ลาว-กัมพูชา” พร้อมขยายการลงทุนเพิ่มอีก 250 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพการผลิต และรองรับ “เออีซี” ประกาศเดินหน้าธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหารสำเร็จรูป พร้อมเปิดแผนใหม่ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต ซึ่งทาง “ซีพีเอฟ” จะลงทุนทั้งหมด 100%
นายสกล ชีวะโกเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.ลาว และซี.พี.กัมพูชา กล่าวว่า บริษัททั้ง 2 เตรียมพร้อมขยายการลงทุน 250 ล้านบาท เสริมศักยภาพการผลิตแบบครบวงจรทั้ง 2 ประเทศ เพื่อรองรับการเปิดตลาดเสรีในภูมิภาคอาเซียน นอกจากการขยายการลงทุนในธุรกิจหลักอัน ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปแล้ว ยังมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต (supply chain) โดยทางบริษัทฯ ได้มองเห็นว่าทั้งกัมพูชา และลาวเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีซึ่งจะช่วยสนับสนุนการผลิตของธุรกิจหลักของบริษัท คือ อาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ และการผลิตอาหาร เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และการเปิดตลาดเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
“การเปิดตลาดเสรีของ AEC จะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถขยายการลงทุน และส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศใกล้เคียงได้ในอนาคต หรือแม้แต่การส่งออกไปประเทศพัฒนาแล้วก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจ” นายสกลกล่าว
สำหรับการลงทุนในประเทศลาว บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นผู้ลงทุน 100% ขณะที่การลงทุนในประเทศกัมพูชา ซีพีเอฟถือ 25% ส่วนที่เหลือเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 75% ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัท ซี.พี.ลาว และ บริษัท ซี.พี.กัมพูชา ได้มีการขยายการลงทุนใน 2 ประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือจากเหตุผลด้านกำลังซื้อภายในประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศเป็นอย่างดี ประกอบกับการเมืองในประเทศที่มีความมั่นคงทำให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บริษัทจึงได้ขยายธุรกิจเข้าไปสู่ธุรกิจต้นน้ำ คือ การไปทำธุรกิจด้านพัฒนาไซโลและโรงอบข้าวโพด ที่จังหวัดไพลิน เพื่อใช้ในการเตรียม และผลิตวัตถุดิบคุณภาพดีสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หลังจากบริษัทได้เข้าไปลงทุนในกัมพูชาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3 พันล้านบาท ประกอบด้วย โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ ไก่และหมู และธุรกิจอาหาร คือ โรงงานไส้กรอก และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่
นายสกล กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทจะสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งใหม่ในจังหวัดไพลิน เพื่อรองรับความต้องการด้านอาหารสัตว์ในภาคตะวันตกของกัมพูชาที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจ เนื่องจากในเขตภาคตะวันตกโดยเฉพาะจังหวัดไพลิน ถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนในการขนส่งได้เป็นอย่างดี และได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพมาใช้ผลิตอาหารสัตว์ให้มีคุณภาพต่อไป โดยเบื้องต้น ระยะแรกคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 10,000 ตันต่อเดือน นอกจากนี้ บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนทำธุรกิจสัตว์น้ำในกัมพูชาด้วย
“ธุรกิจของบริษัทในกัมพูชากำลังเดินหน้าไปด้วยดี ซึ่งในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในเรื่องธุรกิจอาหารมากขึ้น เนื่องจากยังมีโอกาสอีกมาก และในแผนธุรกิจ 5 ปี ของบริษัท บริษัทได้ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายอาหารอีกหนึ่งเท่าตัวในทุกๆ ปี” นายสกลกล่าว
นายสกล กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศกัมพูชายังจำเป็นต้องนำเข้าอาหารสัตว์ และสุกรมีชีวิตจากประเทศใกล้เคียงจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพ และโอกาสในการดำเนินธุรกิจ โดยที่ผ่านมา ธุรกิจของบริษัท ซี.พี.กัมพูชา มีการขยายตัวเฉลี่ยปีละ 20% แต่สำหรับปี 2556 ษริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมโดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ซึ่งจะมาจากการขยายธุรกิจด้านอาหารสัตว์ ฟาร์มสัตว์ปีก ฟาร์มสุกร และอาหารสำเร็จรูป
สำหรับการลงทุนในลาวบริษัทเริ่มเข้าลงทุนตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1 พันล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจฟาร์ม ในขณะที่ธุรกิจอาหารยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนำร่องด้วยการทำธุรกิจไก่ย่างห้าดาว
ปัจจุบัน บริษัท ซี.พี.ลาว มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ 1 แห่ง ที่แขวงเวียงจันทน์ มีกำลังการผลิต 10,000 ตันต่อเดือน และในปีนี้บริษัทฯ จะขยายการลงทุนด้านการผลิตอาหารสัตว์โดยเปิดโรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งใหม่อีก 1 แห่ง ที่แขวงจำปาสัก เขตลาวใต้ ระยะแรกจะมีการผลิต 5,000 ตันต่อเดือน เพื่อตอบสนองความต้องการการบริโภคอาหารสัตว์ในเขตลาวใต้ทั้งหมด และเพื่อลดต้นทุนการผลิตที่ปัจจุบันต้องขนส่งจากเวียงจันทน์ลงไป
นายสกล ยังกล่าวว่า การทำธุรกิจในประเทศ สปป.ลาวนั้น ระยะแรกบริษัทเริ่มดำเนินการโดยบริษัทเข้าไปรับสัมปทานโรงงานอาหารสัตว์ฟาร์มไก่ และฟาร์มสุกร ปัจจุบัน บริษัทมีการเลี้ยงไก่ 2 ประเภทในลาว คือ ไก่เนื้อ และไก่พื้นเมือง ทั้งนี้ไก่พื้นเมืองจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่าไก่เนื้อ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจะขยายปริมาณการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเพิ่มขึ้น 50% ส่วนจำนวนแม่พันธุ์สุกรจะเพิ่มขึ้นอีก 100% รวมทั้งการผลิตไข่ไก่จะเพิ่มขึ้น 50% เพื่อเลี้ยงประชากร 6 ล้านคนในลาว
“โอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในลาว และกัมพูชายังมีสูง เนื่องจากรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศให้การสนับสนุนบริษัทเป็นอย่างดี ในกัมพูชาจะมีการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพ และความมั่นคงของรัฐบาล ส่วนรัฐบาลลาวมีกำหนดนโยบายชัดเจนว่าจะนำพาประเทศหลุดพ้นจากความยากจนในปี 2020” นายสกลกล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศยังดำเนินนโยบายที่อำนวยความสะดวก และดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาร่วมกันพัฒนาประเทศ โดยเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเติบโตเร็วมาก ซึ่งปัจจุบันได้มีสิ่งก่อสร้างประเภทโรงแรม และห้างสรรพสินค้าอยู่ในระหว่างก่อสร้างหลายแห่ง
บริษัทยังเห็นโอกาสการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยต้องสร้างห่วงโซ่การผลิตเกษตรอินทรีย์ให้เกิดขึ้นในประเทศด้วย และจากแนวความคิดดังกล่าวที่ท่านประธานได้ให้ไว้ ปัจจุบัน บริษัท ซี.พี.กัมพูชา และ บริษัท ซี.พี.ลาว ได้เริ่มเข้าไปทำการศึกษาการทำธุรกิจด้านเกษตรอินทรีย์แล้วในทั้ง 2 ประเทศ ในตอนนี้สามารถตอบได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เราจะมีธุรกิจใหม่ใน 2 ประเทศนี้ในอีกไม่นาน