ก.ล.ต. เตือนนักลงทุนเลี่ยงลงทุนหุ้นร้อน ยอมรับได้เข้าตรวจสอบโบรกฯ บ่อยขึ้น โดยตรวจพบมีการโอนหลักทรัพย์จากบัญชีหนึ่งมายังอีกบัญชีหนึ่ง ทำให้บุคคลคนนั้นสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการเพิ่มวงเงินในการซื้อขายหุ้น หรือโอนหุ้นจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เมื่อตรวจพบจึงให้ “บล.” หยุดการให้วงเงิน เพราะทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย และบริษัทเกิดความเสียหายไปด้วย ย้ำการลงทุนควรอิงบทวิเคราะห์เป็นหลัก
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เข้าตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์บ่อยมากขึ้น หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างร้อนแรง จากการตรวจสอบ ก.ล.ต. พบสิ่งผิดปกติ หรือการสร้างราคาในตลาดหุ้น อาจทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากต้องใช้เวลา และมีหลักฐานเพียงพอจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“ขณะนี้พบการโอนหลักทรัพย์จากบัญชีหนึ่งมายังอีกบัญชีหนึ่ง ทำให้บุคคลคนนั้นสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการเพิ่มวงเงินในการซื้อขายหุ้น หรือโอนหุ้นจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เมื่อตรวจพบจึงให้บริษัทหลักทรัพย์หยุดการให้วงเงิน เพราะทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย และบริษัทหลักทรัพย์เกิดความเสียหายไปด้วย”
ขณะเดียวกัน ได้กำชับให้บริษัทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะการตลาดใช้บทวิเคราะห์ในการแนะนำหุ้นให้ผู้ลงทุน เพราะที่ผ่านมา หุ้นได้ปรับตัวขึ้นลงแรง ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง และเล็ก ซึ่งไม่มีบทวิเคราะห์การลงทุน ดังนั้น ก.ล.ต. จึงเตือนทั้งมาร์เกตติ้ง และนักลงทุนให้ระมัดระวังการซื้อขายหุ้น อย่าลงทุนตามกระแสข่าว ขณะนี้ตัวเลขนักลงทุนรายย่อยปัจจุบันมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 63 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีสัดส่วนร้อยละ 52 นักลงทุนกลุ่มใหม่เข้ามา และไม่เคยผ่านบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจ จึงต้องการให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวด้วยว่า การขยายระยะเวลาให้ซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance ในหลักทรัพย์ที่การซื้อขายผิดปกติ และเข้าข่ายมาตรการ Cash Balance เพิ่มเป็น 6 สัปดาห์ ในวันที่ 1 มี.ค.นี้ จากเดิมกำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 3 สัปดาห์ จะช่วยทำให้ตัวนักลงทุนฉุกคิดก่อนเข้าลงทุน มีความระมัดระวัง หรือรอบคอบในการลงทุน และปรับปรุงพอร์ตของตัวเอง