“อีสเทอร์น สตาร์ฯ” แนวโน้มสดใส! เผยปีปี 55 ทำยอดขายได้ 3,125 ล้านบาท ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท เติบโต 85% จากปี 54 ที่มียอดขาย 1,690 ล้านบาท คาดปี 56 มียอดรับรู้รายได้จากการโอน 2 โครงการ ประมาณ 2,800 ล้านบาท พร้อมผุดโครงการใหม่เพื่อรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายปีนี้รวม 3,200 ล้านบาท ด้าน AREA เผยยอดเปิดโครงการใหม่เดือน ม.ค.ลดลง
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยถึงผลการดำเนินการในปี 2555 ที่ผ่านมาว่า อีสเทอร์น สตาร์ฯ มียอดขายรวมกว่า 3,125 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2554 ที่ผ่านมา 85% ที่มี 1,690 ล้านบาท จากโครงการที่ดำเนินการทั้งหมด 6 โครงการในกรุงเทพฯ คือ 1.โครงการ Nara 9 คอนโดมิเนียมถนนสาทร-นราธิวาส ใกล้รถไฟฟ้าช่องนนทรี เป็นโครงการล่าสุดที่เปิดตัวปลายปีที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 70% ของมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท 2.โครงการ StarView คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ Modern Contemporary วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่บนถนนพระราม 3 (ใกล้สะพานพระราม 9) มียอดขายกว่า 60% ของมูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท 3.โครงการ The Breeze คอนโดมิเนียมหรูบนถนนสาทร-นราธิวาส มียอดขายกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท
4.โครงการ Vantage คอนโดมิเนียมดีไซน์ทันสมัย โดดเด่น สไตล์ Modern Contemporary ติดถนนรัชดาภิเษก รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง มียอดขายกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท และ 5.โครงการ The Star Estate@Narathiwas ซึ่งปัจจุบันปิดการขายแล้ว
ส่วนโครงการ The Star Estate@Pattanakarn โครงการบ้านเดี่ยวหรูบน ถ.พัฒนาการ มียอดขายรวม 70% ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในปี 56 จะเริ่มโอน และรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ โครงการ The Breeze และ Vantage ประมาณ 2,800 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี รวมถึงตั้งเป้ายอดขายในปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 3,200 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 1,200 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีกมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ
“เรากำลังวางมัดจำที่ดิน 1 แปลง คาดว่าเร็วๆ นี้ คงจะบอกได้ ซึ่งจะเริ่มในการพัฒนาประมาณไตรมาส 3 ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่งเจรจา 2-3 แปลง”
นอกจากนี้ ทางอีสเทอร์น สตาร์ฯ ยังคงวางแนวนโยบายการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพราะต้องทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในชื่อเสียงของบริษัทเกิดการแนะนำต่อๆ กัน 2.คุณภาพสินค้าที่ดี เน้นคุณภาพที่เหมาะสมกับราคาที่ลูกค้าจ่าย 3.สร้างพันธมิตรในธุรกิจ ทั้งธนาคาร ผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ และซัปพลายเออร์ที่จะต้องเดินไปเคียงข้างกัน
“ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ เราต้องสร้างจุดเด่นเหนือคู่แข่ง ต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และต้องตอบโจทย์ตรงส่วนนั้นให้ได้มากกว่า เช่น โครงการที่ผ่านมา เช่น สตาร์วิวเราให้พื้นที่สีเขียวมากขึ้น หรือลิฟต์ส่วนตัวของโครงการมีให้มากถึง 19 ตัวในโครงการเดียว จัดที่จอดรถให้กว่า 100% ของจำนวนห้อง เพราะอยากให้ลูกค้ารู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟจริงๆ นอกจากนี้ เราเน้นที่การเลือกเฟ้นทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม อยู่บนเส้นทางคมนาคมสัญจรสะดวก เน้นติดถนนใหญ่ หรือใกล้รถไฟฟ้าเป็นหลัก เพราะลูกค้าทำกิจกรรมในเมืองเป็นชีวิตประจำวัน โครงการต้องแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย รวมทั้งการดีไซน์ และแนวคิดทุกพื้นที่การใช้งานต้องมีจุดเด่น สามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ได้ครบถ้วน”
ม.ค.ยอดเปิดโครงการใหม่ลดลง
น.ส.ปัทมา จันทรานุกูล กรรมการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า ในเดือนมกราคม ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการเปิดตัวน้อยลง เนื่องจากได้เปิดตัวไปกันมากแล้วในเดือน ธ.ค.ปี 2555 โดยในเดือน ม.ค.มีการเปิด 17 โครงการใหม่ ลดลงจำนวน 30 โครงการเมื่อเทียบกับปี 55 อีกทั้งจำนวนหน่วยขาย และมูลค่าโครงการก็ลดลงด้วย ลักษณะการพัฒนาเป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งหมด จำนวนรวม 4,418 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 11,376 ล้านบาท
โดยอาคารชุดยังมีจำนวนหน่วยเปิดขายมากที่สุด จำนวน 3,727 หน่วย (84.4%) ซึ่งจะมีการพัฒนาในเขตกรุงเทพฯ ชั้นกลาง ตามแนวรถไฟฟ้ามหานคร และแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริเวณพื้นที่รอบนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาด้วย เช่น บริเวณมหาวิทยาลัยมหานคร (ย่านหนองจอก)
สำหรับบ้านเดี่ยวจะพัฒนาอยู่ในบริเวณถนนบางนา-ตราด ถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง ถนนเทิดราชัน และถนนบางกรวย-ไทรน้อย เป็นต้น
