QH ในเครือแลนด์ฯ เผยแผนธุรกิจปี 2556 เตรียมเปิด 20 โครงการใหม่ ตั้งเป้าเติบโตกว่า 50% หลังกวาดรายได้ในปี’55 ไปกว่าหมื่นล้าน
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2556 ว่า บริษัทฯ และบริษัทในเครือเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 19,000 ล้านบาท รุกพัฒนาทาวน์โฮม และคอนโดฯ เพื่อตอบรับความต้องการในตลาดบ้านระดับกลาง-ล่างมากขึ้น โดยสัดส่วนในการพัฒนาโครงการใหม่แบ่งเป็น บ้านราคาระดับสูง 20% ราคาระดับกลาง 20% และราคาระดับล่าง 60% และแบ่งสัดส่วนตามประเภทโครงการได้แก่ บ้านเดี่ยว 40% ทาวน์โฮม 20% และคอนโดมิเนียม 40%
นอกจากนี้ ยังขยายฐานธุรกิจสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ได้แก่ พัทยา นครปฐม และเชียงใหม่ โดยโครงการที่เปิดใหม่ในปี 2556 แบ่งเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ “ควอลิตี้ เฮ้าส์” 2 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมที่จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองกรุงเทพฯ โครงการโดยบริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด 4 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 โครงการที่กรุงเทพฯ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการที่เชียงใหม่ โครงการภายใต้แบรนด์ “เดอะทรัสต์” 7 โครงการ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม 4 โครงการในกรุงเทพฯ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ 1 โครงการและต่างจังหวัด 2 โครงการ นอกจากนี้ ยังเปิดโครงการใหม่พัฒนาทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์ “กัสโต้” 7 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย โครงการในกรุงเทพฯ 6 โครงการ และต่างจังหวัด 1 โครงการ
ขณะที่ในปี 2556 นี้ บริษัท ควอลิตี้ฯ และบริษัทในเครือ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 50% เนื่องจากในปี 2556 บริษัทฯและบริษัทในเครือจะมีการรับรู้รายได้จากการโอนทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นจากปี 2555 และในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะปรับราคาขายที่อยู่อาศัยขึ้นประมาณ 5-6% เนื่องจากต้นทุนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ดี
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทฯ คาดว่ายอดรับรู้รายได้ที่เกิดจากการขายบ้าน และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นประมาณ 36% แต่รวมรายได้อื่นๆ แล้วเพิ่มขึ้นประมาณ 44% จากปี 2554 เนื่องจากผลการดำเนินงานในธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น ประกอบกับรายได้จากการขายโครงการเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์น้ำท่วม ประกอบกับผู้บริโภคมั่นใจในสถานการณ์ และมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 3 ล้าน ทำให้มียอดรับรู้รายได้เพิ่มมากขึ้น