พีทีจี เอ็นเนอยี ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 420 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.15% ของทุนจดทะเบียนที่ราคาพาร์ 1 บาท เตรียมนำเงินขยายสถานีบริการน้ำมันพีที เฉลี่ยปีละ 100 สถานีภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มสัดส่วนธุรกิจไม่ใช่น้ำมันลดความผันผวนทางธุรกิจ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันพีที เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจำนงที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชนจำนวน 420 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์ 1 บาท) คิดเป็น 25.15% ของทุนจดทะเบียน ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 1,670 ล้านบาท และทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1,250 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังจากการขายหุ้นเพิ่มทุนจะส่งผลให้ทุนที่ออก และเรียกชำระแล้วของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1,670 ล้านบาท
โดยจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแบ่งเป็นการเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป 386.60 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.15% ของทุนจดทะเบียน และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท 33.40 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.00% ของทุนจดทะเบียน โดยมีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
สำหรับเงินที่ได้จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัทฯ จะนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน การลงทุนเพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันพีที และลงทุนปรับปรุง และพัฒนาซอฟต์แวร์ และระบบสารสนเทศที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
“เรามีเป้าหมายที่จะขยายสถานีให้บริการน้ำมันพีทีโดยรูปแบบ COCO ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้บริหารจัดการเองเป็นหลัก มีเป้าหมายที่จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก 130 สถานีภายในปี 2556 และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 100 สถานีภายใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนสถานีประเภท DODO เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 25 สถานีภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงแผนการเพิ่มรถขนส่ง และขนถ่ายน้ำมันอีกปีละ 30 และ 50 คันตามลำดับ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า” นายพิทักษ์กล่าว
นอกจากนี้ ยังต้องปรับเพิ่มสัดส่วนรายได้ในส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil Business) ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันพีที และระบบซอฟต์แวร์ โดยมีแผนเปิดร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” อีก 20 สาขา และปรับปรุงร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมันในชื่อ “แมกซ์มาร์ท” เพื่อดึงดูดให้ลูกค้า และคนทั่วไปเข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันพีทีเพิ่มมากขึ้น
นายพิทักษ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2552 ถึงปี 2554 และใน 9 เดือนแรกปี 2555 ว่า บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 90.45 ล้านบาท 89.15 ล้านบาท 226.42 ล้านบาท และ 249.11 ล้านบาท ตามลำดับ โดยแนวโน้มรายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก และค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริษัทฯ จำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละปี ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในระยะที่ผ่านมา ก็ส่งผลให้รายได้จากการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย