ธ.ก.ส.พร้อมขยายสินเชื่อพัฒนาภาคเกษตรเป็น 1.2 ล้าน ลบ. หลัง ครม. ไฟเขียวเพิ่มทุนเป็น 6 หมื่น ล. ส่งผลให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับร้อยละ 10 รอดพ้นสถานการณ์วิกฤต และสามารถเดินหน้าปล่อยกู้สนองประชานิยมได้
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติขยายเพดานทุนเรือนหุ้นจดทะเบียนตามกฎหมายของ ธ.ก.ส.จาก 50,000 ล้านบาท เป็น 60,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอนั้น ถือเป็นการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายสินเชื่อตามแผนการดำเนินงานปกติในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2555-2559)
การเพิ่มทุนครั้งนี้ กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าอยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับการขยายสินเชื่อของ ธ.ก.ส.ในปีบัญชี 2555 เพิ่มขึ้นจาก 795,479 ล้านบาท เป็น 884,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88,898 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.2 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 7,500 ล้านบาท และทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับร้อยละ 10 ซึ่งถือว่ามีความแข็งแกร่งทางการเงินอยู่ในระดับความมั่นคงตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง คือ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และสูงกว่าระดับความมั่นคงตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.50
นอกจากนี้ ครม.ยังมอบหมายให้กระทรวงการคลังศึกษาแนวทางการจัดหาเงินทุนซื้อหุ้น (ชำระค่าหุ้น) เพื่อเพิ่มทุนให้แก่ ธ.ก.ส.ในส่วนที่เหลืออีก 8,165 ล้านบาท เพื่อให้ครบจำนวนทุนเรือนหุ้นจดทะเบียนตามกฎหมายใหม่ 60,000 ล้านบาท โดยทยอยดำเนินการตามความเหมาะสม และจำเป็น เพื่อรองรับการขยายสินเชื่อของ ธ.ก.ส.ในช่วงปี 55-59 ซึ่งจะขยายจาก 884,377 ล้านบาท เป็น 1,268,745 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณปีละ 100,000 ล้านบาท
นายลักษณ์ กล่าวว่า การขยายสินเชื่อของ ธ.ก.ส.จะเน้นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้เพียงพอต่อความต้องการใช้สินเชื่อของเกษตรกรตามภาวะราคาปัจจัยการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น การสนับสนุนสินเชื่อตามห่วงโซ่มูลค่าสินค้าเกษตรผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร และการสนับสนุนสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล เช่น กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินงานของกองทุนตั้งตัวได้ เป็นต้น
ในส่วนของการอำนวยสินเชื่อเพื่อการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล จะมีการแยกบัญชีการดำเนินงานออกจากบัญชีปกติของ ธ.ก.ส.โดยกระทรวงการคลังจะช่วยในการจัดหาเงินทุนให้ และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชดเชยต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดให้แก่ ธ.ก.ส. ดังนั้น จึงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงานของ ธ.ก.ส.
