นายแบงก์เผยธุรกิจครอบครัว 70-80% ของโครงสร้างธุรกิจไทย กำลังเจอ 4 ปัจจัยท้าทาย ชี้ความเสี่ยงด่านแรกการส่งผ่านจากรุ่น 2 สู่รุ่น 3 ธุรกิจ 4 พันราย ประสบความสำเร็จหลังการส่งมอบเพียง 23% เท่านั้น
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจที่มีการบริหารในระบบครอบครัวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 70-80% ของธุรกิจไทยทั้งหมด กำลังเผชิญกับความท้าทาย 4 เรื่องสำคัญ เรื่องแรกคือการที่ธุรกิจครอบครัวไทยกว่า 4,000 ราย กำลังอยู่ในช่วงส่งผ่านจากรุ่นที่ 2 เข้าสู่รุ่นที่ 3 ซึ่งจากสถิติพบว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลังการส่งมอบของไทยมีเพียง 23% เท่านั้น
เรื่องที่สอง คือ การเปิดเสรีทางการค้าที่จะมาถึง ทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และการเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันในตลาดสูงขึ้น และนำมาซึ่งความเสียเปรียบของธุรกิจครอบครัวที่ยังไม่บริหารอย่างมืออาชีพ
เรื่องที่สาม คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์จากภาวะเศรษฐกิจโลก และความท้าทายสุดท้ายคือ การที่ตลาดในปัจจุบันเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมออนไลน์ และโซเชียลมีเดียมากขึ้น ซึ่งทุกเรื่องจำเป็นที่ธุรกิจครอบครัวจะต้องเร่งปรับตัว เพื่อรับมือตลาดยุคใหม่ให้ได้
นายวศิน กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาด้านต่างๆ ได้แก่ หอการค้าไทย บริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ เอพีเอ็มกรุ๊ป กลุ่มบริษัทแพคริม และแบรนด์บีอิ้ง จัดหลักสูตรเคแฟม คลับ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ลูกค้าธุรกิจครอบครัวที่มียอดขายตั้งแต่ 400 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป และกำลังอยู่ในช่วงการส่งผ่านธุรกิจ
“การให้ความรู้เป็นกลยุทธ์เจาะฐานลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะหลังจากอบรมกับแบงก์แล้วธุรกิจส่วนใหญ่จะปรับตัวได้ และมีแผนขยายกิจการ รวมถึงเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะช่วยต่อยอดในแง่การใช้สินเชื่อของธนาคาร และการใช้ธนาคารเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน”
นายวศิน กล่าวว่า ปัจจุบัน 90% ธุรกิจครอบครัวที่มียอดขายเกิน 400 ล้านบาทต่อปี ใช้ธนาคารเป็นธนาคารหลัก และใช้สินเชื่อกับธนาคารคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 20% ดังนั้น การช่วยลูกค้ากลุ่มนี้ให้ปรับตัวได้จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย เพราะธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนถึง 40% จีดีพีไทย ซึ่งหากเศรษฐกิจเติบโตได้ ลูกค้าอยู่รอด ก็เป็นผลดีต่อธนาคารไปด้วย
