ไทยพาณิชย์เดินหน้าแผนรับ AEC เปิดสำนักงานตัวแทนในเมียนมาร์ ชี้ช่องทางลงทุนยังสดใส มีความต้องการอีกมาก แนะกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่ม โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้างที่ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก-คืนทุนเร็ว ส่วนในระยะกลางยังติดเบรก รอหลังเลือกตั้ง 2015
นายมาณพ เสงี่ยมบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจต่างประเทศ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ธนาคารจะเปิดตัวสำนักงานตัวแทนธนาคารในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (เมียนมาร์) อย่างเป็นทางการในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของธนาคารที่จะสร้างฐานธุรกิจในเมียนมาร์อย่างจริงจัง ทั้งนี้ ธนาคารให้ความสำคัญต่อการขยายเครือข่ายธุรกิจในระดับภูมิภาคตั้งแต่ประเทศในกลุ่มอาเซียนในปัจจุบัน และจะครอบคลุมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกในอนาคต
“ตามที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ธนาคารไทยพาณิชย์มองว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งเครือข่ายต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้าง หรือยกระดับฐานในละแวกประเทศเพื่อนบ้านก่อน แล้วค่อยขยายออกไปยังส่วนอื่นในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งหมายที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างภูมิภาคดังกล่าว การเปิดตัวสำนักงานตัวแทนในประเทศเมียนมาร์จึงเป็นการเติมเต็มเครือข่ายของธนาคารในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวในอนาคตต่อไป”
ด้านโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนยังประเทศเมียนมาร์นั้น ยังมีช่องทางอีกมาก เนื่องจากเมียนมาร์ยังต้องการสินค้าด้านอุปโภคบริโภค ขณะที่การผลิตในประเทศยังมีน้อยเพราะยังขาดความพร้อม ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ก็สามารถทำได้ทันที โดยกลุ่มที่แนะนำ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้างที่ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก แต่มีความต้องการในระดับสูงจึงน่าจะมีระยะเวลาคืนทุนไม่มากนัก
สำหรับอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการพิจารณา และต้องศึกษาเพิ่มเติมภายใน 1-2 ปี ได้แก่ จำพวกสินค้าด้านเกษตรกรรม และการสื่อสาร รวมถึงพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะต้องศึกษา และหาข้อมูลด้านต่างๆ มากขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะในด้านกฎหมายของเมียนมาร์ที่ไม่มีความชัดเจน และการใช้เงินทุนที่สูงในการลงทุน รวมถึงระยะเวลาคืนทุนที่ยาวอีกด้วย ซึ่งในขณะนี้ ยังให้การชะลอดูอีก 3 ปีข้างหน้าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเลียม
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเมียนมาร์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากการเมืองยังต้องการเพิ่มศักยภาพ และต้องการความพร้อมในส่วนของการบริหารงานตามนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการเลือกตั้ง 2015 นี้ จะถือว่าเป็นตัวทดสอบที่สำคัญของความมั่นคงในประเทศ และยังคงมองเรื่องความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
