xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ เจียดร่วมลงทุน SME เพิ่มศักยภาพ-ต่อยอดปล่อยกู้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กสิกรฯ เปิดแนวทางเข้าถือหุ้นเอสเอ็มอีผ่าน บลท.ข้าวกล้าเบิกทางปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ระบุเน้นช่วยเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการมากว่าผลตอบแทน ล่าสุด เข้าร่วมอีก 2 แห่ง วงเงินรวม 78.2 ล้าน รวมเป็น 13 แห่ง รับสินเชื่อเอสเอ็มอีปีนี้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยโต 7-8% แต่ปีหน้าคาดโตได้ 10%

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารมีแนวทางที่จะเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มเติม จากเดิมที่ปล่อยสินเชื่อ หรือบริการทางการเงินเท่านั้น โดยจะร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีของไทยที่มีศักยภาพ และต้องการหาเงินทุนในการขยายธุรกิจ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด (บลท.ข้าวกล้า) เป็นผู้บริหารเงินร่วมลงทุน และพิจารณาคัดเลือกเอสเอ็มอีเพื่อร่วมถือหุ้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพบว่ามีเอสเอ็มอีไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เนื่องจากมีเงินกองทุนไม่เพียงพอ ดังนั้น การเข้าไปร่วมทุนจะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ก็ต้องมีการพิจารณาในหลายปัจจัย เพราะการร่วมทุนจะมีความเสี่ยงมากกว่าการปล่อยสินเชื่อ โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา บลท.ข้าวกล้าเข้าไปร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีรวม 13 ราย รวมเป็นเงินลงทุนกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มี 2 รายได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว และอีก 3 รายอยู่ระหว่างการเตรียมเข้าจดทะเบียน

ล่าสุด บริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี ได้พิจารณาเข้าร่วมถือหุ้นในเอสเอ็มอี 2 บริษัท วงเงินร่วมทุน 78.2 ล้านบาท ได้แก่ บริษัทโอ แอนด์ เอช ฮันนี่คอมป์เปเปอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษรังผึ้ง เข้าร่วมถือหุ้น 18.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 40.99% จากทุนจดทะเบียน 44.40 ล้านบาท

และบริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่วแนล โลจิสติกส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจลอจิสติกส์ครบวงจร บริษัทร่วมทุน เค เอสเอ็มอีจะเข้าร่วมลงทุนเป็นเงิน 60 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 18.46% จากทุนจดทะเบียน 81.25 ล้านบาท

“การลงทุนของเราส่วนใหญ่จะเน้นที่ช่วยหนุนให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถขอสินเชื่อ และขยายธุรกิจได้ ด้านผลตอบแทนเป็นวัตถุประสงค์รอง ซึ่งได้ตั้งเป้าไว้ 15-20% ซึ่งอาจจะมองว่าสูง แต่จริงๆ ความเสี่ยงก็สูงด้วย เพราะเป็นการร่วมทุน ดีก็ดีด้วยกัน ล้มก็ล้มด้วยกัน และที่ผ่านมา ภายหลังการเข้าตลาดฯเราก็จะขายหุ้นเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนให้รายอื่นต่อไป โดยขณะนี้มีอีก 4-5 ดีลที่ดูอยู่”

นายพัชรกล่าววว่า สินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้อาจหย่อนกว่าเป้าหมายเล็กน้อย น่าจะเติบโตได้ 7-8% เนื่องจากธนาคารจะเน้นเพิ่มด้านผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และผลตอบแทนต่อทุน (ROE) รวมถึงมีความระมัดระวังในการปล่อยกู้อยู่พอสมควรจากภาวะความไม่แน่นอนในหลายๆ ด้าน แต่ในปีหน้าเชื่อคงจะเติบโตได้ 10%

น.ส.ปฐมาพร ไชยกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในอนาคตจะยังคงนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีเพื่อเป็นทางเลือกของแหล่งเงินทุนต่อไป รวมทั้งกำลังพิจารณาร่วมลงทุนอีก 4-5 รายโดยมุ่งลงทุนในบริษัทใหม่ๆ ที่น่าสนใจเพื่อให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับเอสเอ็มอี ทั้งนี้ ได้กำหนดนโยบายร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีแต่ละบริษัทในสัดส่วน 10-50% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการร่วมทุน มีระยะเวลาการร่วมทุน 3-5 ปี โดยจะให้อิสระในการบริหารกิจการแก่เจ้าของบริษัท และมีนโยบายกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยจะลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งไม่เกิน 1 ใน 3 ของเงินทุนทั้งหมด สำหรับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนที่ผ่านมา เฉลี่ยตั้งแต่เริ่มเข้าไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ อยู่ประมาณ 20%
กำลังโหลดความคิดเห็น