ก.ล.ต. เปิดยุทธศาสตร์เปลี่ยนประเทศไทยให้รุ่งเรือง ด้วยความรู้ทางการเงิน จับมือแบงก์เอดีบี เสริมสร้างความรู้พื้นฐานด้านการเงินการลงทุนให้เป็นไปตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวในงานสัมมนา “เปลี่ยนประเทศไทยให้รุ่งเรืองด้วยความรู้ทางการเงิน” ซึ่งจัดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง ก.ล.ต. และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) โดยระบุว่า ก.ล.ต.ได้ดำเนินการทั้งด้านนโยบาย และภาคปฏิบัติในการให้ความรู้ทางการเงินการลงทุนเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ในการเสริมสร้างความรู้พื้นฐานด้านการเงินการลงทุนให้เป็นไปตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย และเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า หากคนไทยมีความรู้ทางการเงิน รู้จักหารายได้ ใช้เงินเป็น มีเงินออม และจัดสรรเงินออมมาลงทุน จะทำให้มีทุนสะสมในตลาดทุนเพิ่มขึ้น ช่วยให้ภาคธุรกิจมีเงินทุนขยายกิจการ และจะเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีระดับโลก
“เพื่อให้การให้ความรู้ด้านการเงิน และการลงทุนเข้าถึงกลุ่มคนในวงกว้างขึ้น ก.ล.ต. จึงได้เพิ่มช่องทางในการให้ความรู้ เช่น การสอดแทรกความรู้ด้านการเงินในรายการคริส ดีลิเวรี่ โดยจัดทำสกู๊ปสั้นตอนละ 1 นาที การเผยแพร่บทสัมภาษณ์คนดังเกี่ยวกับการจัดการเงินและการลงทุนในนิตยสารแพรว ขวัญเรือน ทีวีพูล รวมถึงได้นำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้พื้นฐานด้านการลงทุน โดยจัดทำ Mobile Application ชื่อ “start-to-invest” เป็นต้น”
สำหรับก้าวต่อไปที่ ก.ล.ต. จะสร้างสรรค์ช่องทางในการให้ความรู้ ได้แก่ การผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณา เรื่อง “เก็บก่อนใช้ แบ่งไปลงทุน รวยได้ทุกคน” นำแสดงโดยดาราตลกชื่อดัง “ตุ๊กกี้” รวมถึงการจัดงานสัมมนากึ่งทอล์กโชว์ และการให้ความรู้ผ่านสื่อภาพยนตร์โดยนำเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการเงินส่วนบุคคลไปสอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ ซึ่งจะเผยแพร่ให้ได้ชมกันในเร็วๆ นี้
การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ ก.ล.ต. ได้ร่วมกับ ADB นำเสนอผลการศึกษา และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางดำเนินการให้ความรู้ด้านการเงินสำหรับกลุ่มคนวัยทำงาน รวมทั้งการเปิดเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมอง รวมทั้งรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้แทนกว่า 30 องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ทางการเงินการลงทุนแก่ประชาชน เพื่อช่วยกันผลักดันให้เกิดการยกระดับความรู้ ความเข้าใจและความสามารถในการจัดการเงินของคนไทย
“ก.ล.ต. ต้องการให้คนไทยมีความรู้ และการบริหารจัดการเงินและการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการให้ความรู้ของ ก.ล.ต. ตัวอย่างเช่น หากคนเพียงแค่ 100,000 คน เริ่มต้นเก็บออมเพื่อเกษียณเดือนละ 10,000 บาทผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพทุกเดือน ในเวลา 1 ปี จะทำให้มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 12,000 ล้านบาท ถ้ามีวินัยลงทุนทุกปีเป็นเวลา 20 ปี และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 5% แต่ละคนจะมีเงินออมเมื่อเกษียณอายุคนละ 4 ล้านบาท มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มเป็น 400,000 ล้านบาท”
ซึ่งการที่มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดทุนต่อเนื่องในระยะยาวเช่นนี้ จะส่งผลให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนจากตลาดทุนได้ใช้ประโยชน์ในการขยายกิจการต่อเนื่อง เพิ่มการจ้างงาน สร้างรายได้ และกำลังซื้อเพิ่มขึ้น สินค้าที่ผลิตออกมาขายดีขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต
ดังนั้น ก.ล.ต. จึงอยากให้คนไทยลงทุนเพื่ออนาคต แต่การที่จะผลักดันให้เกิดเรื่องนี้ได้ นอกจากต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังต้องเริ่มจากการที่ทำให้คนมีความรู้ทางการเงินก่อน เราจึงจะเปลี่ยนประเทศไทยให้รุ่งเรืองด้วยความรู้ทางการเงินได้
สำหรับยุทธศาสตร์การให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุนของ ก.ล.ต. ปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ (1) การให้ความรู้พื้นฐานทางการเงิน (financial literacy) เพื่อทำให้คนสามารถอ่านออกเขียนได้ทางการเงิน รู้จักหารายได้ ใช้เงินเป็น มีเงินออม และจัดสรรเงินออมมาลงทุน (2) การให้ความรู้การลงทุน (investor education) เมื่อเริ่มมีการลงทุนแล้ว จะต้องทำให้คนรู้จักประเภทสินค้าต่างๆ ในการลงทุน รู้จักเลือกลงทุนในสิ่งที่เหมาะกับระดับความสามารถในการรับความเสี่ยง และรู้จักปกป้องสิทธิของตนเอง และ (3) การให้ความรู้ในสินค้าการลงทุนที่ซับซ้อน (sophisticated investor education) รวมทั้งยังคงให้ความรู้เรื่องความเสี่ยง และกระตุ้นให้รักษาสิทธิประโยชน์ด้วย
ก.ล.ต. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งหากองค์กร หรือหน่วยงานสนใจจะนำสื่อให้ความรู้ทางการเงินการลงทุนของ ก.ล.ต. ไปเผยแพร่ เพื่อช่วยให้ความรู้ทางการเงินกระจายสู่กลุ่มคนในวงกว้าง และเข้าถึงประชาชนคนไทยเพิ่มมากขึ้น สนใจติดต่ออีเมล start-to-invest@sec.or.th