กสิกรไทยเผยผลประกอบการไตรมาส 3 กำไร 9.2 พันล้าน ลดลง 155 ล้านบาท จากรายการพิเศษในช่วงไตรมาสก่อน แต่หากรายการดังกล่าวเพิ่มขึ้น 7.15% ส่วนช่วง 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 2.75 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 30% จากรายได้ดอกเบี้ย-ค่าฟีเพิ่ม
นายสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 55 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 55 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ จำนวน 9,212 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 155 ล้านบาท หรือ 1.66% โดยในไตรมาสก่อนมีรายการพิเศษจากการได้รับหุ้นปันผล ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 7.15%
โดยการเพิ่มขึ้นกำไรส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เป็นจำนวน 739 ล้านบาท หรือ 4.78% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin:NIM) อยู่ที่ระดับ 3.55% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง จำนวน 101 ล้านบาท หรือ 0.97% หากไม่รวมรายการพิเศษจากการได้รับหุ้นปันผลในไตรมาสก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 6.9% โดยรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิยังคงรักษาระดับการเติบโตจากรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Efficiency ratio) อยู่ที่ระดับ 43.54%
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 เครือธนาคารกสิกรไทยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 2,005,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 118,424 ล้านบาท หรือ 6.28% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายการระหว่างธนาคาร และตลาดเงินสุทธิ และเงินให้สินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL Gross) ณ 30 กันยายน 2555 อยู่ที่ระดับ 2.07% ขณะที่ไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 2.20% อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้แล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอยู่ที่ 16.53% โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ระดับ 10.90%
ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2555 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีเงินได้ จำนวน 38,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 6,146 ล้านบาท หรือ 19.18% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 5,018 ล้านบาท หรือ 12.07% ส่งผลให้ NIM อยู่ที่ระดับ 3.57% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำนวน 4,316 ล้านบาท หรือ 16.43% ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิ และรายได้เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Efficiency ratio) ในปีนี้อยู่ที่ระดับ 43.07% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน รวมทั้งการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ในปี 2555 ทำให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารในงวดนี้มี จำนวน 27,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 6,374 ล้านบาท หรือ 30.08%