หุ้นมือถือโดนทุบ! ทำกำไรหลังผลประมูล 3G เริ่มมีความชัดเจน “เอไอเอส” ควง “ชินคอร์ป” รูด 7 บาท/หุ้น และ 1 บาท/หุ้น วอลุ่มซื้อขาย 1.4 พันล้านและ 890 ล้านบาท ด้าน “ทรู” นำมาตั้งแต่ต้นยันจบ ลดลง 0.05 สตางค์ วอลุ่ม 2.5 พันล้าน “ดีแทค” ไม่น้อยหน้า ลดลง 3.25 บาท โบรกฯ เชื่อเกิด Sell on fact ในกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มแบงก์ กดดัชนีปรับตัวลงสวนตลาดต่างประเทศ คาดวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงต่อ ให้จับตาผลการประชุม กนง.
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พบว่า ผลการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2.1 GHz (3G) ของ กสทช. ในรอบที่ 7 ถือเป็น Final Phase ครั้งที่ 2 ซึ่งเริ่มในเวลา 15.15 น. แต่ไม่มีรายใดเคาะประมูลเพิ่ม ส่งผลให้ปิดการประมูลที่มูลค่ารวม 9 สล็อต 41,625 ล้านบาท โดย กสทช.เผยว่า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เสนอราคาประมูล 3G สูงสุด 3 สล็อต 14,625 ล้านบาท ขณะที่ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เสนอราคาประมูล 3G เท่ากัน 3 สล็อต 13,500 ล้านบาท
และจากการประมูลดังกล่าว ได้ส่งผลต่อราคาหุ้นกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีการปรับตัวลดลง แม้ยังกลุ่มนำใน 10 อันดับหลักทรัพย์มูลค่าซื้อขายสูงสุด (16 ต.ค.) เริ่มที่อันดับ 1.บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) ปิดที่ 5.55 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ -0.89% ปริมาณการซื้อขาย 2,547.48 ล้านบาท ถัดมาคือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ปิดที่ 195.00 บาท ลดลง 7.00 บาท หรือ -3.47% ปริมาณการซื้อขาย 1,463.50 ล้านบาท อันดับ 4.บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ปิดที่ 62.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ -1.57% ปริมาณการซื้อขาย 890.68 ล้านบาท และอันดับ 6.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ปิดที่ 85.00 บาท -3.25 บาท หรือ -3.68% ปริมาณการซื้อขาย 310.933 ล้านบาท ขณะที่ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ปิดที่ 4.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 2.90% ปริมาณการซื้อขาย 1,219.82 ล้านบาท
โดยหลายคนเชื่อว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นมารอรับข่าวการประมูล 3G ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อการประมูลเกิดขึ้นจริง ก็เป็นเรื่องของบริษัทที่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งจากการประมูล และค่าใช้จ่ายด้านเงินลงทุน จึงเกิดแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ออกมา
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย วานนี้(16 ต.ค.) ปรับตัวผันผวนโดยปิดตลาดในแดนลบ ที่ระดับ 1,287.49 จุด ลดลง 3.07 จุด หรือ -0.24% มูลค่าการซื้อขาย 29,684.74 ล้านบาท เป็นการปรับฐานสวนทางตลาดภูมิภาค และยุโรปที่ต่างอยู่ในแดนบวก และเกิดจาก Sell on fact ของหุ้นหลักในกลุ่มสื่อสาร และการขายทำกำไรในกลุ่มธนาคารพาณิชย์กดดันดัชนี โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,297.42 จุด และต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,287.10 จุด
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดยุโรปที่อยู่ในแดนบวกกัน โดยย่อตัวลงหลังผลการประมูล 3G ทยอยออกมา ทำให้มี Sell on fact ในหุ้นหลักๆ ของกลุ่มสื่อสาร อย่างหุ้น ADVANC, DTAC เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยังได้รับแรงขายทำกำไรจากหุ้น KBANK และ BBL ด้วย เนื่องจากกังวลว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 3/55 ออกมาอาจจะไม่เด่นเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้
ทั้งนี้ ให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ย และให้ติดตามดูการ Debate รอบ 2 ระหว่าง “บารัค โอบามา-มิตต์ รอมนีย์” ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยจะมีผลให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (17 ต.ค.) ดัชนีจะซึมตัวลงต่อ และในระยะสั้นคงจะต้องติดตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีถึง 26% แล้ว ให้แนวรับ 1,280 จุด แนวต้าน 1,295-1,300 จุด