มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ ได้ออเดอร์เหล็กจากโครงการโรงไฟฟ้าหงสา ประเทศลาว ประเดิมล็อตแรก 6,600 ตัน ซึ่งโครงการดังกล่าวนับเป็นโครงการแรกจาก 3 โครงการโรงไฟฟ้าหงสา ในประเทศลาว “สิทธิชัย” เผยว่าโครงการนี้ถือเป็นก้าวแรกสู่การขยายตลาดไปยังกลุ่ม AEC นับเป็นการย้ำคุณภาพเหล็กของมิลล์คอน ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งใน และต่างประเทศ ในขณะที่ผลการดำเนินงานปีนี้แนวโน้มผลกำไรดีที่สุด หลังได้รับอานิสงส์เต็มๆ จากโครงการ Green MILL ช่วยดันยอดขาย และมาร์จิ้นพุ่ง
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาร่วมโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว ที่ได้สั่งซื้อเหล็กที่จะใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด คิดเป็นพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร จากบริษัท มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์
โดยโครงการโรงฟ้าลิกไนต์หงสา เป็นโครงการแรกจาก 3 โครงการเมกะโปรเจกต์ในประเทศลาว ทีประกอบด้วย โครงการทำเหมืองถ่านหิน โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์ และโครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งมิลล์คอนมั่นใจว่าจะสามารถรับคำสั่งซื้อจากโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพ ทำให้สินค้าของมิลล์คอนได้รับการยอมรับจากทั้งภายใน และต่างประเทศ นอกจากนี้ การได้ขายเหล็กให้แก่โครงการขนาดใหญ่ในประเทศลาว ยังถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การพัฒนาตลาดไปยังกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอนาคตอีกด้วย
“เรามีความภาคภูมิใจที่โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ประเทศลาว เลือกซื้อเหล็กของมิลล์คอน ในการก่อสร้างทั้งโครงการ โดยได้สั่งล็อตแรกไปแล้ว 6,600 ตัน เป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของเราซึ่งมิลล์คอนมีความมั่นใจว่า จะได้รับออเดอร์จากเมกะโปรเจกต์ในประเทศลาวอีกอย่างต่อเนื่อง และถือว่านี่เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การพัฒนาตลาดไปยังกลุ่ม AEC ต่อไป” นายสิทธิชัยกล่าว
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา เป็นโรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,878 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร และจะส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยในปี 2558
นายสิทธิชัย ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2555 ของมิลล์คอน โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเติบโตเพิ่มขึ้น 10-15% หลังจาก Green Mill Project ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว และผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายเหล็กเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) มีแนวโน้มสูงขึ้น จากระดับ 4-5% จากปีที่ผ่านมา คาดว่าจะสูงถึง 8-9% ในปีนี้ เนื่องจากการผลิตที่ต่อเนื่อง ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนต่อขนาดได้มากขึ้น รวมทั้งการควบคุมกระบวนการผลิตที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการผลิตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อโรงงานผลิต Billet และโรงงานเหล็กเส้นที่ระยอง ทำให้สามารถผลิต Billet ต่อเนื่องไปผลิตเหล็กเส้นได้ทันที ส่งผลให้ต้นทุนการใช้พลังงานลดลง และผลักดันความสามารถการทำกำไรของบริษัทให้ปรับตัวดีขึ้น