คลังเดินหน้าขายหวยตู้หลังบอร์ดกองสลากไฟเขียวแล้ว ระยะแรกขายเฉพาะเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวก่อน “ทนุศักดิ์” ระบุ ต้องเปิดขายให้ได้ภายในต้นปีหน้า เพื่อให้เป็นของขวัญปีใหม่คนไทย พร้อมหาแนวทางแก้ปัญหาสลากเกินราคาโดยแตกรางวัลที่ 1 ออกเป็นหลายรางวัล
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลังเปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ หรือหวยตู้แล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา โดยขั้นตอนจากนี้เป็นหน้าที่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่จะต้องเดินหน้าเจรจารายละเอียดกับคู่สัญญาเดิมคือ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัด (แอลจีที) ในฐานะที่เป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่งจะต้องมีการทบทวนข้อมูลต่างๆ และปรับปรุงรายละเอียดของเครื่องที่อาจจะล้าสมัย เนื่องจากได้เตรียมระบบมา 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 จากนั้น ก็จะเร่งนำเสนอเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโครงการภายในปีนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มขายสลากได้ในต้นปีหน้า
“เราเองก็จะพยายามเสนอ ครม.ให้ได้ภายในปีนี้ เพื่อให้ทันขายได้ในต้นปีหน้า จะอยากให้เป็นของขวัญปีใหม่นี้ให้แก่ประชาชนทั่วไป และเป็นความหวังว่า จะทำให้สลากที่ขายในราคาแพงลดลงได้ โดยเริ่มต้นจะเป็นการรางวัลเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัว เท่านั้น เพื่อไม่ให้ไปทับซ้อนกับเลข 6 ตัวที่ขายในรูปสลากใบอยู่แล้ว” นายทนุศักดิ์กล่าวและว่า ไม่อยากให้เรียกการขายรางวัลดังกล่าวว่าหวยออนไลน์ เพราะถ้าการขายออนไลน์แสดงว่า ซื้อที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ เพราะผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แต่อยากให้เรียกว่า หวยตู้แทน เพราะมีการจัดการที่เหมาะสม ไม่ขายให้แก่เด็ก ไม่ตั้งใกล้วัด ใกล้โรงเรียน มีเวลาการขายที่แน่นอน ใครต้องการซื้อจะต้องเดินออกมาซื้อที่ตู้จำหน่าย ไม่ใช่นั่งคีย์ตัวเลขจากบ้านก็ได้
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ จะติดตั้งตู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม 6 พันเครื่องเป็น 1.2 หมื่นเครื่อง โดยรางวัลที่ได้รับจะผันแปรตามจำนวนคนถูกคือ ถูกมากได้น้อย และถูกน้อยจะได้มาก และจะยังคงมีรางวัลแจ็กพอตเช่นเดิม แต่ก็จะผันแปรตามจำนวนคนถูกด้วย เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 ซึ่งการออกหวยตู้ยังจะทำให้รายได้ของสลากเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว คือ จาก 500-600 ล้านบาทต่องวด เป็น 1 พันกว่าล้านบาทต่องวด หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 2 พันล้านบาท หรือปีละ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดก็เข้ารัฐและยังเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่ตั้งเป้าจะให้มีรายได้จากการขายสลากเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าตัว คือ จากสลาก 60 ล้านฉลับในปัจจุบัน เป็น 600 ล้านฉบับ เพราะตลาดใหญ่ขึ้น และจำนวนสลากที่เพิ่มก็ไม่ได้มอมเมาในประเทศ เพราะจะเป็นการเน้นตลาดต่างประเทศแทน
ด้าน พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลกล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคาด้วยการแตกรางวัลที่ 1 ให้มีจำนวนมากขึ้น มีผลกระทบต่อเนื่องในหลายส่วน บอร์ดจึงมอบหมายให้ไปศึกษาผลกระทบให้ชัดเจนก่อน แล้วนำกลับมาเสนออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปัญหาสลากเกินราคาเป็นเรื่องของความต้องการซื้อที่มีมากกว่าจำนวนสลาก รวมถึงยังมีการนำเลขไปปรุงแต่งรวมชุดให้มีราคาเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งแนวทางการนำหวยตู้มาใช้ น่าจะช่วยลดราคาลงได้ทางหนึ่ง เพราะไม่ได้จำกัดจำนวนสลากที่จะซื้อ และยังทำให้มีรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะจากผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า เงินพนันในระบบหมุนเวียนอยู่ถึง 3 แสนล้านบาท โดยที่รัฐบาลไม่ได้อะไรจากส่วนนี้เลย หากสามารถขายเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัวก็น่าจะดึงบางส่วนจากส่วนนี้ได้
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลังเปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ หรือหวยตู้แล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา โดยขั้นตอนจากนี้เป็นหน้าที่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่จะต้องเดินหน้าเจรจารายละเอียดกับคู่สัญญาเดิมคือ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัด (แอลจีที) ในฐานะที่เป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่งจะต้องมีการทบทวนข้อมูลต่างๆ และปรับปรุงรายละเอียดของเครื่องที่อาจจะล้าสมัย เนื่องจากได้เตรียมระบบมา 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 จากนั้น ก็จะเร่งนำเสนอเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโครงการภายในปีนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มขายสลากได้ในต้นปีหน้า
“เราเองก็จะพยายามเสนอ ครม.ให้ได้ภายในปีนี้ เพื่อให้ทันขายได้ในต้นปีหน้า จะอยากให้เป็นของขวัญปีใหม่นี้ให้แก่ประชาชนทั่วไป และเป็นความหวังว่า จะทำให้สลากที่ขายในราคาแพงลดลงได้ โดยเริ่มต้นจะเป็นการรางวัลเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัว เท่านั้น เพื่อไม่ให้ไปทับซ้อนกับเลข 6 ตัวที่ขายในรูปสลากใบอยู่แล้ว” นายทนุศักดิ์กล่าวและว่า ไม่อยากให้เรียกการขายรางวัลดังกล่าวว่าหวยออนไลน์ เพราะถ้าการขายออนไลน์แสดงว่า ซื้อที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ เพราะผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แต่อยากให้เรียกว่า หวยตู้แทน เพราะมีการจัดการที่เหมาะสม ไม่ขายให้แก่เด็ก ไม่ตั้งใกล้วัด ใกล้โรงเรียน มีเวลาการขายที่แน่นอน ใครต้องการซื้อจะต้องเดินออกมาซื้อที่ตู้จำหน่าย ไม่ใช่นั่งคีย์ตัวเลขจากบ้านก็ได้
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ จะติดตั้งตู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม 6 พันเครื่องเป็น 1.2 หมื่นเครื่อง โดยรางวัลที่ได้รับจะผันแปรตามจำนวนคนถูกคือ ถูกมากได้น้อย และถูกน้อยจะได้มาก และจะยังคงมีรางวัลแจ็กพอตเช่นเดิม แต่ก็จะผันแปรตามจำนวนคนถูกด้วย เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 ซึ่งการออกหวยตู้ยังจะทำให้รายได้ของสลากเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว คือ จาก 500-600 ล้านบาทต่องวด เป็น 1 พันกว่าล้านบาทต่องวด หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 2 พันล้านบาท หรือปีละ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดก็เข้ารัฐและยังเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่ตั้งเป้าจะให้มีรายได้จากการขายสลากเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าตัว คือ จากสลาก 60 ล้านฉลับในปัจจุบัน เป็น 600 ล้านฉบับ เพราะตลาดใหญ่ขึ้น และจำนวนสลากที่เพิ่มก็ไม่ได้มอมเมาในประเทศ เพราะจะเป็นการเน้นตลาดต่างประเทศแทน
ด้าน พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลกล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคาด้วยการแตกรางวัลที่ 1 ให้มีจำนวนมากขึ้น มีผลกระทบต่อเนื่องในหลายส่วน บอร์ดจึงมอบหมายให้ไปศึกษาผลกระทบให้ชัดเจนก่อน แล้วนำกลับมาเสนออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปัญหาสลากเกินราคาเป็นเรื่องของความต้องการซื้อที่มีมากกว่าจำนวนสลาก รวมถึงยังมีการนำเลขไปปรุงแต่งรวมชุดให้มีราคาเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งแนวทางการนำหวยตู้มาใช้ น่าจะช่วยลดราคาลงได้ทางหนึ่ง เพราะไม่ได้จำกัดจำนวนสลากที่จะซื้อ และยังทำให้มีรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะจากผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า เงินพนันในระบบหมุนเวียนอยู่ถึง 3 แสนล้านบาท โดยที่รัฐบาลไม่ได้อะไรจากส่วนนี้เลย หากสามารถขายเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัวก็น่าจะดึงบางส่วนจากส่วนนี้ได้